messenger icon
×
หน้าหลัก » ข่าวประชาสัมพันธ์ » กระทรวง อว. โดย สอวช. ชูบทบาทอุดมศึกษาเป็นผู้นำการเปลี่ยนผ่านสู่ Net Zero Campus ชี้มหาวิทยาลัยต้องปรับบทบาทรับโจทย์ประเทศและโจทย์พื้นที่ เสริมพลังมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2050

กระทรวง อว. โดย สอวช. ชูบทบาทอุดมศึกษาเป็นผู้นำการเปลี่ยนผ่านสู่ Net Zero Campus ชี้มหาวิทยาลัยต้องปรับบทบาทรับโจทย์ประเทศและโจทย์พื้นที่ เสริมพลังมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2050

วันที่เผยแพร่ 29 ธันวาคม 2025 15 Views

ดร.สุรชัย สถิตคุณารัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ร่วมปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “การเปลี่ยนผ่านสู่มหาวิทยาลัย ESG: ผู้นำการเปลี่ยนแปลงเพื่อความยั่งยืน” ในการประชุมสัมมนาทางวิชาการ “การขับเคลื่อนนโยบายมหาวิทยาลัยสีเขียว (Green University) สู่มหาวิทยาลัยยั่งยืน (Sustainable University) จัดโดย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2568  ณ โรงแรมควีนสแลนด์ กรุงเทพมหานคร โดยมีหน่วยงานพันธมิตรทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนให้ความสนใจเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก

ดร.สุรชัย กล่าวถึงสถานการณ์การพัฒนากำลังคนสีเขียวที่มีแนวโน้มเข้มข้นและเป็นความต้องการในอนาคตมากยิ่งขึ้น โดยมีการคาดการณ์นโยบายที่ส่งผลกระทบต่อกำลังคนทักษะสูงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาทิ การเปิดเผยข้อมูลและรายงานด้านความยั่งยืนข้อมูล ESG (Environmental, Social and Governance) พระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่มีส่วนหนึ่งของกฎหมายกำหนดให้มีการรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ระบบการซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Trading System: ETS) จากกลไกต่างๆ ที่บรรจุภายในกฎหมายดังกล่าวส่งผลให้ต้องมีการพัฒนาของหน่วยตรวจสอบและที่ปรึกษา รวมไปถึงการขยายการใช้เทคโนโลยีด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเกิดการลงทุนในเทคโนโลยีด้านนี้มากยิ่งขึ้น เช่น การดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture Utilization and Storage, CCUS) ไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen) ซึ่งมีการคาดการณ์ความต้องการกำลังคนที่เกี่ยวข้องด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในปี ค.ศ. 2030 (พ.ศ. 2573) อยู่ที่ประมาณ 235,000 – 275,000 คน

สำหรับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการสร้างระบบนิเวศเทคโนโลยีด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ดร.สุรชัย กล่าวว่า มีหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่ส่วนที่สำคัญคือการทำงานร่วมกันระหว่าง 3 ภาคส่วน ในรูปแบบ Triple Helix นำโดยภาคเอกชนและ อุตสาหกรรม ในส่วนด้านวิชาการจะมีสถาบันอุดมศึกษาช่วยสนับสนุนเรื่ององค์ความรู้ และส่วนราชการเป็นผู้อำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ ต้องมีการส่งเสริมให้เกิดการนำเทคโนโลยีไปใช้ โดยเฉพาะในกลุ่มสตาร์ทอัพ เพื่อให้เทคโนโลยีที่คิดค้นขึ้นมาสามารถไปสู่ตลาดได้จริง

ดร.สุรชัย ยังได้กล่าวถึงบทบาทของ สอวช. ในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งการเป็น Thailand’s NDE หรือหน่วยประสานงานกลางด้านการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย ภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change, UNFCCC) รวมถึงการทำหน้าที่เป็นหน่วยประสานงานโครงการการประเมินความต้องการเทคโนโลยีเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย (Technology Needs Assessment: TNA) ฉบับที่ 2 ที่จะเป็น เป็นเครื่องมือสำคัญในการระบุความต้องการเทคโนโลยีเฉพาะด้านของประเทศไทย เพื่อเสนอต่อ UNFCCC ต่อไป

นอกจากนี้ สอวช. ยังได้ร่วมกับกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (สส.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ในการกำหนดกรอบและแผนงานวิจัยด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อให้เกิดงานวิจัยที่ตอบโจทย์ในการแก้ไขปัญหา โดยมีการแบ่งกรอบและแผนงานวิจัยหลักออกเป็น 3 โปรแกรมได้แก่ โปรแกรมการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โปรแกรมการสร้างภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และโปรแกรมงานวิจัยเชิงระบบ

สอวช. ยังได้ขับเคลื่อนโครงการเครือข่ายมหาวิทยาลัยขับเคลื่อนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Campus) ร่วมกับเครือข่ายมหาวิทยาลัยยั่งยืนแห่งประเทศไทย (SUN Thailand) ดึงบทบาทของสถาบันอุดมศึกษาหรือมหาวิทยาลัยมาเป็นพลังสำคัญในการช่วยประเทศให้ไปสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2050 โดยโจทย์สำคัญคือมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งมีความเข้มแข็งไม่เท่ากัน มหาวิทยาลัยขนาดใหญ่จึงต้องเข้ามาเป็นพี่เลี้ยงและเป็นผู้นำให้กับมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ในการเปลี่ยนผ่านไปสู่แนวทางนี้ ที่สำคัญต้องมองไปถึงมหาวิทยาลัยในระดับภูมิภาค ที่จะเป็นกลไกสำคัญให้เห็นถึงปัญหาในเชิงพื้นที่ด้วย

“เชื่อว่ามหาวิทยาลัยช่วยประเทศได้ แต่ยังต้องปรับบทบาทในหลายส่วน เช่น จากที่ให้ความสำคัญกับการตีพิมพ์งานวิจัย ต้องหันมารับโจทย์ของประเทศ โจทย์ของพื้นที่มากขึ้น รวมถึงต้องทำงานร่วมกับนานาชาติ และสร้างความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยพันธมิตร” ดร.สุรชัย กล่าวทิ้งท้าย

เรื่องล่าสุด