(16 มิถุนายน 2568) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานในการประชุมสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2568 ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล

นางสาวศุภมาส กล่าวว่า รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะนำพาประเทศไทยไปสู่การเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจฐานนวัตกรรม และให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อพี่น้องประชาชน ซึ่งถือเป็นการลงทุนเพื่อวางรากฐานอนาคตของประเทศ ผ่านการพลิกโฉมภาคการเกษตรด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) สร้างบุคลากรครูที่มีคุณภาพสูงเพื่อพัฒนาการศึกษาของเยาวชน และผลักดันให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง พร้อมเตรียมพัฒนากำลังคนรองรับอุตสาหกรรมดังกล่าว สิ่งเหล่านี้คือหัวใจสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ

ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. ได้เสนอประเด็นสำคัญต่อที่ประชุม 4 เรื่อง โดยเรื่องแรกคือ การปฏิรูปภาคการเกษตรด้วย AI ซึ่งได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้ กระทรวง อว. ดำเนินการ โดยมอบหมายให้ สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ดำเนินการสำรวจข้อมูลจากเกษตรกรทั่วประเทศ เพื่อรวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับปัญหาทางการเกษตร เช่น การพยากรณ์โรคพืช ภัยแล้ง น้ำท่วม และราคาผลผลิต เพื่อนำมาพัฒนา AI Chatbot โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) เป็นผู้พัฒนาระบบต้นแบบที่สามารถตอบคำถามเกษตรกรได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะเริ่มต้นกับพืชเศรษฐกิจสำคัญ ได้แก่ ข้าว และพืชอาหารสัตว์

ศ.ดร.ศุภชัย ยังกล่าวถึงแนวทางการพัฒนาระบบข้อมูล ซึ่งจะครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยเชื่อมโยงข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมการข้าว กรมส่งเสริมการเกษตร กรมพัฒนาที่ดิน กรมอุตุนิยมวิทยา และสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ เพื่อให้คำแนะนำที่แม่นยำแก่เกษตรกรผ่านแชทบอท เช่น การแจ้งเตือนแมลงศัตรูพืชที่ส่งผลกระทบต่อผลผลิตข้าว การพยากรณ์อากาศ การแจ้งเตือนเกี่ยวกับโรคพืช ราคาผลผลิต เป็นต้น ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มอบหมายให้กระทรวง อว. เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงาน โดยมีข้อเสนอแนะให้มีผู้แทนจากภาคการเกษตรเข้าร่วมกำหนดแผนงาน รวมถึงประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการการทำงานร่วมกัน ทั้งนี้ เพื่อลดความซ้ำซ้อน และใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ศ.ดร.ศุภชัย ยังได้นำเสนอ “โครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่น ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2569–2582)” เพื่อผลิตครูคุณภาพสูงในสาขาที่ขาดแคลน ตรงตามความต้องการของพื้นที่ โดยมีเป้าหมายการบรรจุข้าราชการครู 17,392 คน โครงการนี้จะเน้นการพัฒนาทักษะผ่านการฝึกปฏิบัติจริงในโรงเรียนฝึกหัดครู (Teaching Training School: TTS) ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพการศึกษาของผู้เรียนให้ทัดเทียมนานาชาติ โดยที่ประชุมเสนอให้นำผลการประเมินระยะที่ 1 มาประกอบการพิจารณาว่าสถาบันใดประสบความสำเร็จในการสร้างผลลัพธ์ที่ดีต่อผู้เรียน เพื่อให้การดำเนินงานระยะที่ 2 มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และย้ำให้มีระบบประเมินสมรรถนะครูจากสถานการณ์จริง
ประเด็นต่อมา ปลัดกระทรวง อว. นำเสนอต่อที่ประชุม เรื่องการส่งเสริมให้สถาบันอุดมศึกษาและสถาบันวิจัย นำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์โดยการลงทุนร่วมกับภาคเอกชน โดยให้สภานโยบายกำหนดชื่อหน่วยงานที่มีภารกิจวิจัยและนวัตกรรม และหน่วยงานอื่นที่จะใช้ระเบียบในการร่วมลงทุน ที่ประชุมเห็นชอบ อนุมัติหลักการให้ 7 สถาบันวิจัยชั้นนำของประเทศ ได้แก่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ (มว.) สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (สทน.) และสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (สซ.) สามารถนำทรัพย์สินทางปัญญาไปร่วมลงทุนต่อยอดในเชิงพาณิชย์ได้ เป็นการปลดล็อกศักยภาพงานวิจัยไทยให้สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและเกิดการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนด้านเทคโนโลยีได้

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้รับทราบความก้าวหน้าของโครงการสำคัญที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น การผลิตกำลังคนด้านเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ซึ่งมีเป้าหมายพัฒนากำลังคนกว่า 84,900 คน ภายในปี พ.ศ. 2573 รวมถึงการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมแห่งชาติด้านเซมิคอนดักเตอร์ (National Semiconductor Training Centers) จำนวน 3 แห่ง ใน 3 มหาวิทยาลัยชั้นนำ ได้แก่ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร (มทม.) และโครงการความร่วมมือกับบริษัทไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) ในการพัฒนาทักษะด้าน AI โดยตั้งเป้าฝึกอบรมนักพัฒนา 50,000 คน และผู้ใช้งานเบื้องต้นอีกอย่างน้อย 100,000 คน ซึ่งขณะนี้ได้บรรจุเนื้อหาดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของวิชาศึกษาทั่วไป (General Education) ในมหาวิทยาลัย


นอกจากนี้ ที่ประชุมยังรับทราบรายงานผลกระทบของนโยบายต่างประเทศต่อการศึกษาและวิทยาศาสตร์ของไทย เพื่อเตรียมมาตรการเชิงรุกดูแลนักเรียนและนักวิจัยไทยในต่างแดน และรับทราบความก้าวหน้าในการจัดงานประชุมวิชาการเนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปี ความร่วมมือไทย–จีน โดยจะจัดตั้งศูนย์ความร่วมมือหรือห้องปฏิบัติการร่วม (Joint Lab) โดยเฉพาะในด้านอวกาศและปัญญาประดิษฐ์ เช่น การจัดตั้ง Remote Sensing Data Center ระหว่าง China National Space Administration (CNSA) และ GISTDA รวมถึงห้องปฏิบัติการร่วมด้าน AI อื่น ๆ ต่อไป