messenger icon
×
หน้าหลัก » ข่าวประชาสัมพันธ์ » กระทรวง อว. โดย สอวช. ร่วมเวที Vitafoods Asia 2025 ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารอนาคตไทยด้วย วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

กระทรวง อว. โดย สอวช. ร่วมเวที Vitafoods Asia 2025 ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารอนาคตไทยด้วย วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

วันที่เผยแพร่ 24 กันยายน 2025 26 Views

สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ได้เข้าร่วมงาน Vitafoods Asia 2025 ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้า เทคโนโลยี และนวัตกรรมตลอดห่วงโซ่การผลิตผลิตภัณฑ์อาหารเสริม และอาหารฟังก์ชัน จัดขึ้นระหว่างวันที่ 17–19 กันยายน 2568 ณ ฮอลล์ 1–8 ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดย Vitafoods Asia เป็นเวทีสำคัญสำหรับการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมอาหาร เสริมอาหาร และ Nutraceuticals ในประเทศไทยและภูมิภาค พร้อมส่งเสริมการสร้างภาพลักษณ์และการรับรู้ระดับมาตรฐานการผลิตของไทยให้เป็นที่รู้จักและยอมรับในระดับสากลเพื่อเปิดโอกาสให้หน่วยงานของไทยได้พบเจอและสร้างความร่วมมือกับผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอาหารและเสริมอาหารจากทั่วโลก โดยในปีนี้คาดว่าจะมีผู้ร่วมจัดแสดงสินค้ามากกว่า 600 บริษัท และผู้เข้าชมงานมากกว่า 12,000 คน

ในวันที่ 18 กันยายน 2568 สอวช. ได้จัดเวทีสัมมนาภายใต้ชื่อ Vitafoods Asia Healthy Summit ในหัวข้อ “Fireside chat: Investing in Thailand: A Partner to Excel in Future Food Industry” โดยมีนายพีระ เชาว์เฉลิมพงศ์ ผู้เชี่ยวชาญนโยบาย สอวช. เป็นผู้ดำเนินรายการ พร้อมเชิญผู้แทนจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารอนาคตของประเทศ อาทิ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) InnoSpace Thailand และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) มาร่วมเสวนาในประเด็นความร่วมมือเพื่อยกระดับ Functional Ingredients, FoodTech และ AgriTech โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจไทยและผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางระดับภูมิภาคและระดับโลก

ส.อ.ท. ได้นำเสนอศักยภาพของสมุนไพรไทย อาทิ ขิง กระชายดำ และดาวเรือง ซึ่งมีสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่สามารถพัฒนาเป็น Functional Ingredient สำหรับส่งออกสู่ตลาดโลก พร้อมทั้งนำเสนอแนวทางผลักดันผ่านโครงการเชิงกลยุทธ์ เช่น National Product Champions และ ระบบรักษาความปลอดภัยสินค้าด้วย QR Code เฉพาะตัว หรือ Dragon Code เพื่อป้องกันสินค้าปลอม เพิ่มความน่าเชื่อถือและมูลค่าการส่งออก โดยคาดว่าจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากถึง 300%  เมื่อเทียบกับการส่งออกวัตถุดิบเกษตรทั่วไป

ด้าน InnoSpace Thailand ได้นำเสนอบทบาทในฐานะตัวกลางเร่งเชื่อมโยงทุนและนวัตกรรม โดยได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรกว่า 16 หน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น PTT, BDMS, ThaiBev, CP Group และ NIA พร้อมชูจุดแข็งของไทยด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งจัดอยู่ใน 20 ประเทศที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในโลก เพื่อต่อยอดสู่การผลิต Functional Food, Alternative Protein, Nutraceuticals และ Circular Economy โดยสนับสนุนการพัฒนา Testbed และกลไก Co-investment สำหรับสตาร์ทอัพและผู้ประกอบการรุ่นใหม่

ขณะที่ EEC ได้นำเสนอแผนการพัฒนา EEC Agri-Food Hub ที่ครอบคลุม 4 คลัสเตอร์หลัก ได้แก่ ผลไม้ กุ้ง พืชพลังงานชีวภาพ และสมุนไพร พร้อมระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านวิจัยขั้นสูง เช่น EECi Bio-Polis และโรงงาน Bio-refinery สำหรับการพัฒนา Functional Ingredients และ Nutraceuticals ในระดับอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ยังมีมาตรการสนับสนุนการลงทุนที่จูงใจ เช่น การยกเว้นภาษีสูงสุด 15 ปี และสิทธิประโยชน์ด้านวีซ่าและการถือครองที่ดินสำหรับนักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญต่างชาติ

ความร่วมมือจากทั้ง 3 หน่วยงานสะท้อนถึงการเดินหน้าของประเทศไทยสู่การเป็น Future Food Innovation Hub ของอาเซียน ที่ไม่เพียงยกระดับรายได้เกษตรกรและ SMEs แต่ยังเสริมสร้างเศรษฐกิจใหม่ที่เชื่อมโยงกับนโยบายการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารอนาคตของ สอวช. อีกด้วย

จากนั้น ในวันที่ 19 กันยายน 2568 ดร.สุทิพาพรรณ ตุ้มหอม ผู้เชี่ยวชาญนโยบาย ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจชีวภาพ สอวช. ได้เข้าร่วมบรรยายในหัวข้อ “The Innovative Ingredient: Building Thailand’s Future Food Economy” ณ เวที Main Stage ชั้น LG โดยกล่าวว่า ได้มีการตั้งเป้าว่าอุตสาหกรรมอาหารอนาคตของไทยจะมีมูลค่ารวมกว่า 500,000 ล้านบาท ภายในปี 2570 ครอบคลุมการส่งออก 220,000 ล้านบาท และตลาดภายในประเทศอีก 280,000 ล้านบาท

“ประเทศไทยมีความอุดมสมบูรณ์ด้านทรัพยากรเกษตรและสมุนไพร แต่ที่ผ่านมาเรายังเน้นการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีมูลค่าต่ำ การต่อยอดด้วยสารออกฤทธิ์เชิงฟังก์ชัน (Functional Ingredients) จะช่วยให้ประเทศก้าวสู่เศรษฐกิจอาหารสุขภาพที่มีมูลค่าสูงและสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้” ดร.สุทิพาพรรณ กล่าว

โดยวัตถุดิบไทยที่มีศักยภาพ เช่น ข้าว มันสำปะหลัง มะพร้าว กาแฟ ชา โกโก้ ขมิ้น และกระชายดำ จะได้รับการยกระดับด้วยเทคโนโลยีการสกัด การหมักชีวภาพ และการวิเคราะห์เชิงคลินิก เพื่อนำไปพัฒนาเป็นอาหารฟังก์ชัน เครื่องดื่มสุขภาพ โปรตีนทางเลือก และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

นอกจากนี้ สอวช. และเครือข่าย ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ. (บพข.)  สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) (สวก.) และ Food Innovation & Regulation Network (FIRN) ได้ร่วมกันขับเคลื่อนเชิงวิจัยและวิชาการประกาศบัญชีรายการสารสำคัญ (Positive List for Other Function Claims) เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการให้สามารถขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ที่มีการกล่าวอ้างคุณประโยชน์ต่อสุขภาพได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยตั้งเป้า 150 รายการกล่าวอ้าง (Health Claims) ภายในปี 2570 ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะสร้างประโยชน์ให้กับทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็น SMEs ที่สามารถพัฒนาสินค้าได้เร็วขึ้นและต้นทุนลดลง ผู้บริโภคที่มีทางเลือกในการบริโภคอาหารสุขภาพที่มากขึ้น เกษตรกรที่สามารถจำหน่ายผลผลิตได้ในราคาที่สูงขึ้น รวมถึงหน่วยงานวิจัยที่มีโอกาสในการพัฒนาผลงานวิจัยสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์

สอวช. มั่นใจว่า การขับเคลื่อนงานวิจัย อุตสาหกรรมและการสร้างตลาด ของกลุ่มสารประกอบเชิงฟังก์ชัน (Functional Ingredient) ทั้งที่ได้จากธรรมชาติหรือกระบวนการทางเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งมีฤทธิ์ทางชีวภาพต่อร่างกาย เช่น เสริมภูมิคุ้มกัน ต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบ หรือปรับสมดุลลำไส้ รวมไปถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความใหม่ ล้ำสมัย ทั้งในแง่ของ กระบวนการสกัด และการประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์อาหารหรืออาหารเสริมจะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางอาหารอนาคตและนวัตกรรมสุขภาพของภูมิภาคได้อย่างแท้จริง

เรื่องล่าสุด