สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ได้เข้าร่วมงาน Vitafoods Asia 2025 ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้า เทคโนโลยี และนวัตกรรมตลอดห่วงโซ่การผลิตผลิตภัณฑ์อาหารเสริม และอาหารฟังก์ชัน จัดขึ้นระหว่างวันที่ 17–19 กันยายน 2568 ณ ฮอลล์ 1–8 ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดย Vitafoods Asia เป็นเวทีสำคัญสำหรับการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมอาหาร เสริมอาหาร และ Nutraceuticals ในประเทศไทยและภูมิภาค พร้อมส่งเสริมการสร้างภาพลักษณ์และการรับรู้ระดับมาตรฐานการผลิตของไทยให้เป็นที่รู้จักและยอมรับในระดับสากลเพื่อเปิดโอกาสให้หน่วยงานของไทยได้พบเจอและสร้างความร่วมมือกับผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอาหารและเสริมอาหารจากทั่วโลก โดยในปีนี้คาดว่าจะมีผู้ร่วมจัดแสดงสินค้ามากกว่า 600 บริษัท และผู้เข้าชมงานมากกว่า 12,000 คน

ในวันที่ 18 กันยายน 2568 สอวช. ได้จัดเวทีสัมมนาภายใต้ชื่อ Vitafoods Asia Healthy Summit ในหัวข้อ “Fireside chat: Investing in Thailand: A Partner to Excel in Future Food Industry” โดยมีนายพีระ เชาว์เฉลิมพงศ์ ผู้เชี่ยวชาญนโยบาย สอวช. เป็นผู้ดำเนินรายการ พร้อมเชิญผู้แทนจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารอนาคตของประเทศ อาทิ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) InnoSpace Thailand และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) มาร่วมเสวนาในประเด็นความร่วมมือเพื่อยกระดับ Functional Ingredients, FoodTech และ AgriTech โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจไทยและผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางระดับภูมิภาคและระดับโลก

ส.อ.ท. ได้นำเสนอศักยภาพของสมุนไพรไทย อาทิ ขิง กระชายดำ และดาวเรือง ซึ่งมีสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่สามารถพัฒนาเป็น Functional Ingredient สำหรับส่งออกสู่ตลาดโลก พร้อมทั้งนำเสนอแนวทางผลักดันผ่านโครงการเชิงกลยุทธ์ เช่น National Product Champions และ ระบบรักษาความปลอดภัยสินค้าด้วย QR Code เฉพาะตัว หรือ Dragon Code เพื่อป้องกันสินค้าปลอม เพิ่มความน่าเชื่อถือและมูลค่าการส่งออก โดยคาดว่าจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากถึง 300% เมื่อเทียบกับการส่งออกวัตถุดิบเกษตรทั่วไป
ด้าน InnoSpace Thailand ได้นำเสนอบทบาทในฐานะตัวกลางเร่งเชื่อมโยงทุนและนวัตกรรม โดยได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรกว่า 16 หน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น PTT, BDMS, ThaiBev, CP Group และ NIA พร้อมชูจุดแข็งของไทยด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งจัดอยู่ใน 20 ประเทศที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในโลก เพื่อต่อยอดสู่การผลิต Functional Food, Alternative Protein, Nutraceuticals และ Circular Economy โดยสนับสนุนการพัฒนา Testbed และกลไก Co-investment สำหรับสตาร์ทอัพและผู้ประกอบการรุ่นใหม่

ขณะที่ EEC ได้นำเสนอแผนการพัฒนา EEC Agri-Food Hub ที่ครอบคลุม 4 คลัสเตอร์หลัก ได้แก่ ผลไม้ กุ้ง พืชพลังงานชีวภาพ และสมุนไพร พร้อมระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านวิจัยขั้นสูง เช่น EECi Bio-Polis และโรงงาน Bio-refinery สำหรับการพัฒนา Functional Ingredients และ Nutraceuticals ในระดับอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ยังมีมาตรการสนับสนุนการลงทุนที่จูงใจ เช่น การยกเว้นภาษีสูงสุด 15 ปี และสิทธิประโยชน์ด้านวีซ่าและการถือครองที่ดินสำหรับนักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญต่างชาติ
ความร่วมมือจากทั้ง 3 หน่วยงานสะท้อนถึงการเดินหน้าของประเทศไทยสู่การเป็น Future Food Innovation Hub ของอาเซียน ที่ไม่เพียงยกระดับรายได้เกษตรกรและ SMEs แต่ยังเสริมสร้างเศรษฐกิจใหม่ที่เชื่อมโยงกับนโยบายการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารอนาคตของ สอวช. อีกด้วย

จากนั้น ในวันที่ 19 กันยายน 2568 ดร.สุทิพาพรรณ ตุ้มหอม ผู้เชี่ยวชาญนโยบาย ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจชีวภาพ สอวช. ได้เข้าร่วมบรรยายในหัวข้อ “The Innovative Ingredient: Building Thailand’s Future Food Economy” ณ เวที Main Stage ชั้น LG โดยกล่าวว่า ได้มีการตั้งเป้าว่าอุตสาหกรรมอาหารอนาคตของไทยจะมีมูลค่ารวมกว่า 500,000 ล้านบาท ภายในปี 2570 ครอบคลุมการส่งออก 220,000 ล้านบาท และตลาดภายในประเทศอีก 280,000 ล้านบาท

“ประเทศไทยมีความอุดมสมบูรณ์ด้านทรัพยากรเกษตรและสมุนไพร แต่ที่ผ่านมาเรายังเน้นการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีมูลค่าต่ำ การต่อยอดด้วยสารออกฤทธิ์เชิงฟังก์ชัน (Functional Ingredients) จะช่วยให้ประเทศก้าวสู่เศรษฐกิจอาหารสุขภาพที่มีมูลค่าสูงและสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้” ดร.สุทิพาพรรณ กล่าว

โดยวัตถุดิบไทยที่มีศักยภาพ เช่น ข้าว มันสำปะหลัง มะพร้าว กาแฟ ชา โกโก้ ขมิ้น และกระชายดำ จะได้รับการยกระดับด้วยเทคโนโลยีการสกัด การหมักชีวภาพ และการวิเคราะห์เชิงคลินิก เพื่อนำไปพัฒนาเป็นอาหารฟังก์ชัน เครื่องดื่มสุขภาพ โปรตีนทางเลือก และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
นอกจากนี้ สอวช. และเครือข่าย ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ. (บพข.) สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) (สวก.) และ Food Innovation & Regulation Network (FIRN) ได้ร่วมกันขับเคลื่อนเชิงวิจัยและวิชาการประกาศบัญชีรายการสารสำคัญ (Positive List for Other Function Claims) เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการให้สามารถขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ที่มีการกล่าวอ้างคุณประโยชน์ต่อสุขภาพได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยตั้งเป้า 150 รายการกล่าวอ้าง (Health Claims) ภายในปี 2570 ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะสร้างประโยชน์ให้กับทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็น SMEs ที่สามารถพัฒนาสินค้าได้เร็วขึ้นและต้นทุนลดลง ผู้บริโภคที่มีทางเลือกในการบริโภคอาหารสุขภาพที่มากขึ้น เกษตรกรที่สามารถจำหน่ายผลผลิตได้ในราคาที่สูงขึ้น รวมถึงหน่วยงานวิจัยที่มีโอกาสในการพัฒนาผลงานวิจัยสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์

สอวช. มั่นใจว่า การขับเคลื่อนงานวิจัย อุตสาหกรรมและการสร้างตลาด ของกลุ่มสารประกอบเชิงฟังก์ชัน (Functional Ingredient) ทั้งที่ได้จากธรรมชาติหรือกระบวนการทางเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งมีฤทธิ์ทางชีวภาพต่อร่างกาย เช่น เสริมภูมิคุ้มกัน ต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบ หรือปรับสมดุลลำไส้ รวมไปถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความใหม่ ล้ำสมัย ทั้งในแง่ของ กระบวนการสกัด และการประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์อาหารหรืออาหารเสริมจะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางอาหารอนาคตและนวัตกรรมสุขภาพของภูมิภาคได้อย่างแท้จริง
