messenger icon
×
หน้าหลัก » ข่าวประชาสัมพันธ์ » กระทรวง อว. โดย สอวช. เร่งผลักดัน “พ.ร.ฎ. ยกเว้นภาษี” หนุนการศึกษาเชิงประสบการณ์ เสริมกลไกสร้างบัณฑิตสมรรถนะสูง จูงใจภาคเอกชนร่วมพัฒนากำลังคน

กระทรวง อว. โดย สอวช. เร่งผลักดัน “พ.ร.ฎ. ยกเว้นภาษี” หนุนการศึกษาเชิงประสบการณ์ เสริมกลไกสร้างบัณฑิตสมรรถนะสูง จูงใจภาคเอกชนร่วมพัฒนากำลังคน

วันที่เผยแพร่ 30 พฤษภาคม 2025 66 Views

(30 พฤษภาคม 2568) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) จัดประชุมคณะกรรมการอำนวยการ สอวช. ครั้งที่ 4/2568 ณ ห้องประชุมชั้น 4 อาคารพระจอมเกล้า (โยธี) กระทรวง อว. และผ่านระบบออนไลน์ โดยมีนางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. เป็นประธานการประชุม และมีวาระเสวนาในประเด็นข้อเสนอเพื่อตราพระราชกฤษฎีกายกเว้นภาษี สำหรับเงินได้ที่จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาเชิงประสบการณ์ (Experiential Learning) โดยความร่วมมือระหว่างสถาบันอุดมศึกษาและสถานประกอบการ

ดร.สุรชัย สถิตคุณารัตน์ ผู้อำนวยการ สอวช. เปิดเผยว่า คณะอนุกรรมการส่งเสริมและขับเคลื่อนการจัดการศึกษาเชิงประสบการณ์ ภายใต้คณะกรรมการมาตรฐานการอุดมศึกษา (กมอ.) มีมติเห็นชอบในการประชุมครั้งที่ 1/2566 เมื่อวันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา ให้มีการจัดทำข้อเสนอเพื่อออกพระราชกฤษฎีกายกเว้นภาษีแก่สถานประกอบการที่มีความร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษาในการจัดการศึกษาเชิงประสบการณ์ อ้างอิงตามมาตรา 36 แห่งพระราชบัญญัติการอุดมศึกษา พ.ศ. 2562 ซึ่งระบุให้หน่วยงานรัฐหรือเอกชนที่เข้าร่วมสามารถได้รับสิทธิประโยชน์รวมถึงสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร

“วัตถุประสงค์ของข้อเสนอนี้คือการเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ปฏิบัติงานจริงในสถานประกอบการ ลดช่องว่างทักษะ พร้อมพัฒนาหลักสูตรร่วมกับภาคเอกชน และปรับปรุงกระบวนการบริหารสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้โปร่งใส ตรวจสอบได้ ลดขั้นตอน เพื่อความคล่องตัวในการดำเนินงาน” ดร.สุรชัย กล่าว

นางสาวภาณิศา หาญพัฒนนันท์ ผู้อำนวยการฝ่ายนวัตกรรมอุดมศึกษาและการพัฒนาทักษะแห่งอนาคต สอวช. กล่าวว่า วัตถุประสงค์หลักของร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ มี 5 ประการ ได้แก่  1. สร้างความหลากหลายของรูปแบบความร่วมมือ 2. ลดขั้นตอนเพื่อให้เอกชนได้รับสิทธิประโยชน์เร็วขึ้น 3. ยกระดับสู่ระบบดิจิทัล 4. เชื่อมโยงข้อมูลสู่การวิเคราะห์เพื่อวางทิศทางกำลังคน และ 5. กระตุ้นให้สถานประกอบการยกระดับคุณภาพการร่วมผลิตบัณฑิต

ทั้งนี้ กลไกหลักประกอบด้วย 2 แนวทางสำคัญ ได้แก่ 1. การจัดการเรียนการสอนร่วมระหว่างสถานประกอบการกับสถาบันอุดมศึกษา (Co-creation model) ดำเนินการโดยมีสถานประกอบการเข้าร่วมกว่า 100 แห่งต่อปี มุ่งปรับปรุงหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด พร้อมเปิดช่องทางให้เอกชนใช้สิทธิประโยชน์ได้อย่างสะดวก โดยได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี 250% สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นตลอดหลักสูตร รวมถึงการฝึกอบรมตามหลักสูตรที่รับรองโดย สอวช. 2. การปฏิบัติงานจริงในสถานประกอบการ (Internship) ครอบคลุมสถานประกอบการกว่า 10,000 แห่ง รองรับนักศึกษากว่า 60,000 – 100,000 คนต่อปี โดยนักศึกษาต้องฝึกงานไม่น้อยกว่า 120 วัน ซึ่งสถานประกอบการสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีตามมาตรการ Thailand Plus Package ได้

“ในปี 2565 มีผู้สำเร็จการศึกษาในระบบนี้แล้วกว่า 9,000 คน และเกิดการจ้างงานในสาย STEM กว่า 8,000 ตำแหน่ง จากสถานประกอบการ 150 แห่งทั่วประเทศ” ดร.ภาณิศา กล่าว

นอกจากนี้ คาดว่าจะสามารถเพิ่มจำนวนบัณฑิตที่มีศักยภาพพร้อมทำงานทันทีได้อย่างน้อย 100,000 คน (จากปัจจุบันที่ 60,000 คน) สร้างมูลค่า GDP เพิ่มขึ้นกว่า 11,682 ล้านบาท และช่วยสถานประกอบการลดต้นทุนการสรรหาบุคลากรกว่า 3,600 ล้านบาท มีบริษัททั้งในและต่างประเทศลงทุนด้านการศึกษาอย่างน้อย 17,000 แห่ง พร้อมมีระบบฐานข้อมูลกลางเพื่อการวิเคราะห์และวางแผนการผลิตกำลังคนเชิงลึกในอนาคต

ด้าน ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า การจัดการศึกษาเชิงประสบการณ์ถือเป็นแนวทางสำคัญในการพัฒนากำลังคนของประเทศ แต่ปัจจุบันหลักสูตรที่อยู่ในเครือข่ายการศึกษาเชิงประสบการณ์มีเพียง 30% จากทั้งหมดกว่า 9,000 หลักสูตร โดยตั้งเป้าว่าในปีหน้าควรเพิ่มเป็น 50%

“อุปสรรคสำคัญยังคงเป็นการหาสถานประกอบการรองรับนักศึกษา 120 วัน ซึ่งหลายแห่งยังมองว่าเป็นภาระ การออกมาตรการลดหย่อนภาษีจึงเป็นกลไกสำคัญที่จะเปลี่ยน ‘ภาระ’ ให้เป็น ‘โอกาส’” ศ.ดร.ศุภชัย กล่าว

ขณะที่ ภาคอุตสาหกรรมที่เข้าร่วมการเสวนาเห็นพ้องกับแนวทางดังกล่าว และเสนอให้ขยายสัดส่วนหลักสูตรที่เชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมโดยตรง รวมถึงให้ความสำคัญกับมาตรการความปลอดภัยในหลักสูตร เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกการทำงานในอนาคต

เรื่องล่าสุด