
(27 พฤษภาคม 2568) นางสาวรติมา เอื้อธรรมาภิมุข นักยุทธศาสตร์ระดับสูง กลุ่มบริหารและพัฒนาองค์กร สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) นำคณะบุคลากร สอวช. ต้อนรับนักศึกษา นักวิจัย และบุคลากรของวิทยาลัยพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยีชุมชนแห่งเอเชีย (adiCET) มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ เพื่อเข้าเยี่ยมชมสำนักงานอัจฉริยะ (Smart Office) โดยนางสาวรติมาได้บรรยายแนวทางการเปลี่ยนแปลงระบบการทำงานในองค์กรสู่ “NXPO Pioneering Digital Excellence Government Transformation” เพื่อสร้างองค์ความรู้ความเข้าใจให้แก่นักศึกษา นักวิจัย และบุคลากรของวิทยาลัยฯ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการทำงานของวิทยาลัยฯ ต่อไป




นางสาวรติมา กล่าวว่า การเป็น Smart Office ไม่ใช่แค่ปรับระบบในองค์กรให้เป็นดิจิทัลอย่างเดียว แต่รวมไปถึงการทำให้ทุกคนในองค์กรทำงานอย่างมีความสุขด้วย ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงขององค์กร โดยเส้นทางการเปลี่ยนแปลงของ สอวช. เริ่มต้นจาก People & Culture ไปสู่การสร้างและพัฒนาระบบการทำงานแบบดิจิทัล เพื่อให้การทำงานมีความสะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น 1. ระบบ Alldo ใช้ในการบริหารจัดการงบประมาณ การเงิน บัญชี และพัสดุ 2. ระบบ FileFlow ใช้บริหารจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ และ 3. ระบบ Performance Management and Development (PMD) การบริหารผลการปฏิบัติงานและการพัฒนาพนักงาน และผลลัพธ์ของการเปลี่ยนแปลงที่ สอวช. ได้รับหลังการนำระบบเข้ามาใช้ คือการลดปริมาณการใช้กระดาษ ลดการใช้ทรัพยากรสำนักงาน ทำให้พื้นที่โล่งเพิ่มความคล่องตัวในการทำงาน เกิดพื้นที่ในการทำงานหลายจุด โดยแบ่งโซนการทำงานตามไลฟ์สไตล์ของแต่ละบุคคล ทำให้พนักงานสามารถเลือกสถานที่ทำงานได้เอง เกิดเป็นความพึงพอใจในการทำงานตามมา นอกจากนี้ สอวช. ยังได้ก้าวสู่การเป็นองค์กรด้านความยั่งยืน โดยได้ผ่านการพิจารณาเพื่อรับเครื่องหมายรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (Carbon Footprint for Organization: CFO) จากการประกาศผลการขึ้นทะเบียนฉลากคาร์บอน ในการประชุมคณะกรรมการ อบก. ครั้งที่ 1/2568 อีกด้วย


นอกจากนี้ สอวช. ยังได้นำเสนอข้อมูลสิ่งที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และ สอวช. ได้ร่วมขับเคลื่อนการดำเนินงานในหลักสูตรการจัดการศึกษาที่แตกต่างจากมาตรฐานการอุดมศึกษา (Higher Education Sandbox) ที่เกิดเป็นนวัตกรรมการศึกษาขึ้น ดังนี้ 1. การจัดการศึกษาร่วมกับภาคเอกชนผู้ใช้บัณฑิตอย่างเข้มข้นตลอดการจัดการศึกษา (Intensive Co-creation) ทำให้สามารถปรับเปลี่ยนหลักสูตรที่ตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างรวดเร็ว 2. การจัดการศึกษาร่วมกับสถาบันต่างประเทศ (Co-education with International Collaboration) ทำให้ยกระดับมาตรฐานการจัดการศึกษาของมหาวิทยาลัยดีขึ้น 3. การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างสถาบันอุดมศึกษา (University Consortium) จนเกิดเป็นข้อมูลกลางด้านความต้องการทักษะในแต่ละอุตสาหกรรม 4. นวัตกรรมการคิดผลสัมฤทธิ์ที่ไม่ได้วัดโดยใช้ระยะเวลา (Flexible Time) สามารถลดระยะเวลาการศึกษาในหลักสูตร ตอบสนองการเรียนรู้ของผู้เรียนรายบุคคลได้ดียิ่งขึ้น 5. รูปแบบการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นรองรับการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Flexible Model for Lifelong Learning) เป็นหลักสูตรที่เปิดกว้างให้คนทำงาน หรือคนที่ต้องการเปลี่ยนสายงานสามารถเข้ามาเรียนได้ และ 6. การใช้เทคโนโลยีในการจัดการศึกษาและบริหารจัดการ (Technology for Leaning and Management) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพระบบการผลิตบัณฑิตโดยการใช้เทคโนโลยีบนทรัพยากรที่จำกัด

