
สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ร่วมกับสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ ครั้งที่ 3 เรื่อง “ข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ในการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อเป้าหมาย Net Zero และ Climate Resilience” ภายใต้โครงการศึกษาบทบาทและผลกระทบจากร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. …. ต่อภารกิจกระทรวง อว. เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2568 ณ ห้องประชุมหว้ากอ 1 อาคารจัตุรัสจามจุรี ชั้น 14 สอวช. โดยมี รศ.วงกต วงศ์อภัย รองผู้อำนวยการ สอวช. กล่าวเปิดและชี้แจงวัตถุประสงค์ของการประชุม

รศ.วงกต กล่าวว่า การประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ถือเป็นเวทีสำคัญในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเชิงนโยบาย และร่วมกันกำหนดแนวทางเชิงยุทธศาสตร์ในการเตรียมความพร้อมของระบบการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.) ของประเทศ เพื่อรองรับการบังคับใช้กฎหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอนาคต โดยที่ผ่านมา สอวช. ได้ดำเนินการจัดประชุมมาแล้ว 2 ครั้ง โดยการประชุมฯ ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2568 มุ่งวิเคราะห์ภาพรวมและความเชื่อมโยงบทบาทของกระทรวง อว. ในการพัฒนาองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) ครอบคลุม 5 ด้านหลัก ได้แก่ 1. การกำหนดยุทธศาสตร์และนโยบายด้าน อววน. 2. การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา 3. การพัฒนากำลังคนและทักษะด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) 4. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานนวัตกรรมและการขยายผลเทคโนโลยี และ 5. การส่งเสริมการมีส่วนร่วมในประเทศและระหว่างประเทศ พร้อมทั้งจัดลำดับความสำคัญของบทบาทกระทรวง อว. เพื่อใช้เป็นฐานในการจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบาย โดยประยุกต์ใช้เครื่องมือ Importance–Readiness Matrix ซึ่งพิจารณาทั้งมิติของความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ และระดับความพร้อมในการดำเนินงาน นำไปสู่การจัดกลุ่มประเด็นเชิงกลยุทธ์ออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ Quick Wins, Strategic Investments, Low-hanging Fruit และ Monitor and Explore

ส่วนการประชุมฯ ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2568 มุ่งเน้นการจัดทำข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์ใน 5 ด้านดังกล่าว ซึ่งผลจากการระดมความคิดเห็นได้สะท้อนข้อเสนอสำคัญ อาทิ การจัดทำแผนยุทธศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมด้านสภาพภูมิอากาศ การพัฒนาการวิจัยเชิงมุ่งเป้าและการบูรณาการข้ามศาสตร์ การยกระดับกำลังคนเฉพาะทาง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการสร้างกลไกความร่วมมือเชิงนโยบายและการเงินสีเขียวในระดับประเทศและนานาชาติ
“การประชุมฯ ครั้งที่ 3 นี้ มีเป้าหมายสำคัญเพื่อเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมให้ข้อคิดเห็นต่อข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์ดังกล่าว เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศ ซึ่งจะใช้เป็นฐานข้อมูลและข้อเสนอเชิงนโยบายที่สำคัญต่อการดำเนินงานของกระทรวง อว. ในระยะต่อไป” รศ.วงกต กล่าว

ภายในงานยังได้มีการนำเสนอ “ข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์ของ อว. ในการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อเป้าหมาย Net Zero และ Climate Resilience” โดย ดร.จักรพงศ์ พงศ์ธไนศวรรย์ ที่ปรึกษาโครงการ จากสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้อธิบายถึงกระบวนการพัฒนาข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์ฯ ที่เริ่มจากการวิเคราะห์และเชื่อมโยงพันธกิจของกระทรวง อว. กับบทบัญญัติของ พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การคัดเลือกประเด็นที่เกี่ยวข้องและจัดลำดับความสำคัญของประเด็น โดยใช้เกณฑ์ Importance–Readiness Matrix ก่อนพัฒนาเป็นข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์ต่อไป
ดร.จักรพงศ์ ยังได้สรุปข้อเสนอยุทธศาสตร์ของกระทรวง อว. เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ 1 กำหนดทิศทาง อววน. เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมาย Net Zero และ Climate Resilience ของประเทศ (Mission to Net Zero and Climate Resilience) ผ่านการบูรณาการทิศทางและนโยบาย อววน. เพื่อสนับสนุนเป้าหมายดังกล่าว และผลักดันให้กระทรวง อว. เป็นองค์กรต้นแบบภาครัฐสู่ Net Zero และ Climate Resilience ยุทธศาสตร์ที่ 2 การพัฒนานวัตกรรมด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อการนำไปใช้ประโยชน์จริง (Climate Innovation for Action) ด้วยการใช้เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำในอุตสาหกรรม พัฒนาเครื่องมือและระบบตรวจวัด รายงาน และทวนสอบ (MRV) ที่รองรับ Climate Governance ของประเทศ รวมถึงการพัฒนาข้อมูล เทคโนโลยี และองค์ความรู้เพื่อการปรับตัวเชิงพื้นที่อย่างยั่งยืน และพัฒนาเครื่องมือเศรษฐศาสตร์คาร์บอนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ยุทธศาสตร์ที่ 3 พัฒนากำลังคนและสมรรถนะด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมสีเขียว โดยยกระดับมหาวิทยาลัยเป็นศูนย์กลางองค์ความรู้วิจัย นวัตกรรม และบริการด้านภูมิอากาศของประเทศ ควบคู่กับการพัฒนาระบบข้อมูลวิทยาศาสตร์ภูมิอากาศและการสื่อสารสาธารณะของประเทศ และ ยุทธศาสตร์ที่ 4 การส่งเสริมความร่วมมือด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ ด้วยความร่วมมือด้านการวิจัย นวัตกรรม และการพัฒนากำลังคน เพื่อขับเคลื่อน Climate Action ในระดับประเทศ และการขยายและส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศด้านองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมภูมิอากาศของประเทศ


ทั้งนี้ ที่ประชุมยังได้ร่วมกันอภิปรายและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นที่เกี่ยวข้อง โดยมีข้อเสนอที่สำคัญ ดังนี้
1. การกำหนดทิศทางยุทธศาสตร์และกลไกการขับเคลื่อน (Strategic Direction)
- กระทรวง อว. ควรมีบทบาทเชิงรุกมากขึ้นในการขับเคลื่อนการดำเนินงานตาม พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในหมวดและมาตราต่าง ๆ โดยเน้นการนำองค์ความรู้และมิติด้านวิชาการเข้าไปสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรม
- เสนอให้จัดตั้งคณะทำงานกลางภายใต้กระทรวง อว. เพื่อประสานความต้องการจากภาคอุตสาหกรรมและประชาชน ให้การดำเนินงานสอดคล้องกับสถานการณ์จริง
- การเตรียมความพร้อมก่อนกฎหมายบังคับใช้ ควรเร่งตั้งคณะทำงานเพื่อวางแผนการปรับตัวล่วงหน้าก่อนที่ พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะมีผลบังคับใช้ในปี 2570
2. การวิจัย นวัตกรรม และการสนับสนุนเอกชน (R&I and Private Sector Support)
- เน้นย้ำให้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นวาระสำคัญหลักในแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) ระยะปี พ.ศ. 2571 – 2575
- เสนอให้มีการจัดสรรงบประมาณอย่างต่อเนื่อง (Long-term Budgeting) โดยเฉพาะโครงการที่เป็น Flagship ด้านเทคโนโลยีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ควรได้รับงบประมาณต่อเนื่อง (เช่น อย่างน้อย 3-5 ปีแบบ Multi-year) เพื่อความต่อเนื่องของผลลัพธ์
- สรุปผลแนวทางการข้ามผ่าน “หุบเขาแห่งความตาย (Valley of death)” ซึ่งโดยทั่วไปบริษัทด้าน Climate Technology อาจะพบเจอได้ 4 ครั้งคือ ระหว่างการก่อตั้ง ขั้นตอนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ขั้นตอนการตรวจสอบตลาด และเมื่อสร้างชื่อเสียงด้านความน่าเชื่อถือ เพื่อให้บริษัท Climate technology สามารถมุ่งสร้างแรงจูงใจให้เอกชนลงทุนในระดับ Pilot Scale เพื่อลดอุปสรรคในการนำงานวิจัยไปใช้ในเชิงพาณิชย์ (Commercialization) ได้
- เน้นงานที่มีผลกระทบสูง ทันสมัย เช่นเร่งรัดการพัฒนาวัสดุเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Materials) เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของโลก
3. การพัฒนาบุคลากรและองค์ความรู้ (Human Capital & Literacy)
- ส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change Literacy) ผ่านสื่อสร้างสรรค์ที่เข้าถึงง่าย เช่น บอร์ดเกม เพื่อสร้างความตระหนักรู้แก่สาธารณะ
- เสนอให้เพิ่มรายวิชา Climate Change และ Sustainability (เช่น CFO, CFP, Thailand Taxonomy) เป็นวิชาบังคับสำหรับนิสิตนักศึกษาทุกคณะ
- พัฒนาทักษะ Upkill/Reskill โดยมุ่งเน้นการอบรมระยะสั้นพร้อมใบประกาศนียบัตร (Certificate) เช่น หลักสูตรวิศวกรรมโครงสร้างรองรับแผ่นดินไหว เพื่อพัฒนากำลังคนในระดับปฏิบัติการ
4. การจัดการข้อมูลและเทคโนโลยี (Data & Technology)
- เน้นการบูรณาการข้อมูล โดยภาครัฐควรเป็นผู้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลที่จำเป็น เช่น ข้อมูลด้านน้ำ และการกำหนดกรอบเวลา (Timeline) ด้านการปรับตัว (Adaptation) ที่ชัดเจนในด้านอาหารและภัยพิบัติ
- ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีอวกาศ โดยยกระดับการรายงานข้อมูลพื้นที่สีเขียวจากภาพถ่ายดาวเทียมจาก Tier 1 สู่ Tier 2 และ 3 เพื่อความแม่นยำในการวิเคราะห์ในมิติเศรษฐกิจและการค้าโลก
- สนับสนุนการสร้างเครือข่าย Node สำหรับการอบรมด้านการตรวจวัด รายงาน และทวนสอบ (MRV) ร่วมกับมหาวิทยาลัย และพัฒนาหลักสูตร T-VER เพื่อรองรับการใช้งานในระดับภูมิภาคอาเซียน
5. การสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และความเป็นธรรมทางสังคม (SMEs Support & Inclusivity)
- ผู้ประกอบการ SMEs ยังคงมีความกังวลภาระต้นทุนการจัดทำข้อมูล CFO/CFP และค่าทวนสอบที่มีราคาสูง ซึ่งผู้ประกอบการ SMEs ยังไม่มีความพร้อมและขาดการเตรียมตัว
- มหาวิทยาลัยควรขยายบทบาทการเป็น Net Zero Hub จากภายในรั้วมหาวิทยาลัยออกไปสู่ชุมชนและหมู่บ้านโดยรอบ (University Hub for Community)
- กำหนดมาตรการช่วยเหลือ SMEs อย่างชัดเจน ทั้งด้านงบประมาณและเครื่องมือจากกระทรวง อว. เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงการใช้เทคโนโลยีใหม่เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI)
- คำนึงถึงหลักการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม (Just Transition) ในการดำเนินการ
6. นโยบายเชิงโครงสร้าง (Policy Infrastructure)
- ควรบูรณาการการขับเคลื่อนสู่ Net Zero ทั้งระดับโครงสร้างพื้นฐานประเทศ (Top-down) และระดับองค์กร (Bottom-up)
- ประเทศไทยควรกำหนดแนวทางปฏิบัติรายสาขา (Sector Guidance) ตามบริบทของประเทศ โดยไม่จำเป็นต้องรอเกณฑ์จากต่างประเทศ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจและสังคมไทย
- เสนอจัดทำคู่มือ “Low Carbon Governance” สำหรับหน่วยงานภาครัฐใช้เป็นแนวทางดำเนินการร่วมกัน
ทั้งนี้ สอวช. จะรวบรวมประเด็นทั้งหมด เพื่อจัดทำเป็นข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์ และนำเสนอต่อสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมแห่งชาติ เพื่อพิจารณาดำเนินการในลำดับต่อไป





