
(14 พฤศจิกายน 2568) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ได้จัดเวทีเสวนาคู่ขนานภายใน Thailand Pavilion ในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 30 (COP30) ณ เมืองเบเล็ง สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล โดยนำเสนอประเด็น “Shaping the Future: How Green Transformation Redefines Global Markets and Supply Chains” เพื่อถ่ายทอดบทบาทของไทย โดย สอวช. ซึ่งเป็นหน่วยงานขับเคลื่อนนโยบายด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำภายใต้กติกาการค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงและร่วมกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นภารกิจของโลกที่มีเป้าหมายร่วมกัน

การเสวนาครั้งนี้ได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิจากหลายภาคส่วนและหลายประเทศ มาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองภายใต้หัวข้อดังกล่าว โดยผู้เข้าร่วมเสวนาประกอบด้วย ดร.ศรวณีย์ สิงห์ทอง ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายเพื่อความยั่งยืน สอวช. Prof. William W. Burke-White ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศ จาก University of Pennsylvania Dr. Renard Siew ประธานสมาคม Malaysia Carbon Market Association (MCMA) และ ดร.เมธาวิน กิตติคุณ ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Growth2gether โดยมี ดร.นัทธมน สุวรรณพรหม นักพัฒนานโยบาย สอวช. ทำหน้าที่ผู้ดำเนินรายการ

ภายใต้เวทีเสวนานี้ Prof. William W. Burke-White กล่าวถึงแรงขับเคลื่อนหลักที่กำหนดทิศทางของตลาดและห่วงโซ่อุปทานโลก ปัจจัยสำคัญหลัก 3R ได้แก่ Risk (ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ) Regulation (กฎระเบียบใหม่ที่มุ่งลดและบริหารความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ) และ Resource (ความจำเป็นในการเข้าถึงทรัพยากรที่เพียงพอต่อการเปลี่ยนผ่านสีเขียว) โดยเน้นว่าความท้าทายสำคัญในปัจจุบันคือการกำหนดกรอบกฎระเบียบให้สามารถลดความเสี่ยงที่ยิ่งเพิ่มความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันเพิ่มความสามารถในการรวบรวมทรัพยากรเพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนตามกรอบกติกาโลกและตลาดใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น

นอกจากนี้ Dr. Renard Siew ได้นำเสนอแนวทางการใช้กลไกคาร์บอนเครดิตร่วมกับโครงการอนุรักษ์ป่า ซึ่งกำลังมีบทบาทสำคัญในด้านการเงินสีเขียว ช่วยดึงดูดเงินทุนเพื่อการฟื้นฟูระบบนิเวศและเพิ่มความเข้มแข็งให้ชุมชนท้องถิ่น ขณะที่ ดร.เมธาวิน ได้กล่าวถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น AI ระบบเซนเซอร์ และ GIS เพื่อสนับสนุนการทำบัญชีคาร์บอน (carbon accounting) การพัฒนาคาร์บอนฟุตพรินต์ (carbon footprint) ของผลิตภัณฑ์ และโครงการคาร์บอนเครดิตในภาคเกษตร ทั้งยังชี้ให้เห็นถึงความก้าวหน้าของตลาดคาร์บอนภาคเอกชนในประเทศไทยที่มีความต้องการระบบข้อมูลที่โปร่งใสและเทคโนโลยีสนับสนุนที่น่าเชื่อถือมากขึ้น

ด้าน ดร.ศรวณีย์ ได้สะท้อนบทบาทของ สอวช. ในการขับเคลื่อนนโยบายนวัตกรรมเพื่อเศรษฐกิจสีเขียว ผ่านกลไกการเชื่อมโยงนโยบายระดับประเทศ การพัฒนาโครงสร้างนิเวศนวัตกรรม และความร่วมมือระหว่างประเทศ ทั้งในระดับมหาวิทยาลัย เมืองนวัตกรรม และเครือข่ายผู้ประกอบการสีเขียว รวมถึงภารกิจในฐานะ National Designated Entity (NDE) ภายใต้ UNFCCC ที่มีบทบาทสำคัญในการประสานงานด้านเทคโนโลยีและการเข้าถึงกลไกการถ่ายทอดเทคโนโลยีระดับสากลโดยได้ยกตัวอย่าง Green Enterprise Indicator (GEI) ที่ถูกสร้างมาเพื่อเป็นเครื่องมือกลางการเชื่อมต่อภาคส่วนและเครื่องมือต่างๆ ที่อยู่ตามหน่วยงานในประเทศไทยที่ให้ความสำคัญเพื่อให้ผู้ประกอบการเปลี่ยนผ่านได้
สุดท้ายนี้ ผู้ร่วมเสวนาได้ข้อสรุปตรงกันว่าการประชุม COP ในแต่ละปีมีความสำคัญยิ่งในการกำหนดกติกาต่าง ๆ เพื่อดำเนินเป้าหมายร่วมกัน และนำไปสู่กฎระเบียบของแต่ละประเทศไปกำหนดตามส่งผลให้ตลาดและห่วงโซ่อุปทานมีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น ต้องให้ความสำคัญโดยเฉพาะการสร้างความเชื่อ (Trust) ในการเจรจาแต่ละประเด็นในที่ประชุมเพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพร่วมกันต่อไป



