
(15 กันยายน 2568) สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) นำโดย รศ.วงกต วงศ์อภัย รองผู้อำนวยการ สอวช. พร้อมด้วย รศ. ดร.จินตวัฒน์ ไชยชนะวงศ์ Program director ด้านแผนงานกลุ่มเศรษฐกิจหมุนเวียน และ รศ.ดร.สุนิดา อรุณพิพัฒน์ ผู้ประสานงานกลุ่ม Circular Economy, Bioenergy, Biochemicals and Biomaterials ของหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) และคณะทำงาน รวมถึงคุณนที สิทธิประศาสน์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมให้การต้อนรับคณะผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานจากประเทศเยอรมนีและนางสาวชนัญธิญา เตมหิวงศ์ เลขานุการเอก สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเบอร์ลิน เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและหารือความร่วมมือการวิจัยและนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องในด้านพลังงานหมุนเวียนและการเปลี่ยนผ่านพลังงานระหว่างไทย–เยอรมนี ซึ่งคณะผู้เชี่ยวชาญจากเยอรมนีโดยหลักประกอบด้วย 1) Mr. Christoph Spurk รองประธานสมาคมก๊าซชีวภาพแห่งเยอรมนี (German Biogas Association) 2) Prof. Dr. Christopher Hebling ผู้อำนวยการฝ่ายต่างประเทศสถาบัน Fraunhofer สำหรับระบบพลังงานแสงอาทิตย์ (Fraunhofer for Solar Energy System: ISE) 3) Ms. Melanie Form กรรมการผู้จัดการ สมาคมการบินเพื่อพลังงานหมุนเวียนในเยอรมนี (Aviation Initiative for Renewable Energy in Germany: aireg) 4) นางสาวมงคลยา รุ่งเวชวุฒิวิทยา ผู้จัดการด้านความยั่งยืน (Sustainability Manager) ผู้แทนหอการค้า เยอรมัน – ไทย และ 5) คุณณัฐยา โลนวรรณ องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ด้านพลังงาน (Thai German Energy Dialogue: TGED)

รศ.วงกต ได้กล่าวแนะนำหน่วยงานและกล่าวถึงนโยบายอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.) ในด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและพลังงานของไทย ที่มีแนวทางการดำเนินงานตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 พ.ศ. 2566-2570 ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างความยั่งยืนให้กับประเทศ แบ่งออกเป็น 13 หมุดหมายสำคัญ ซึ่งมีประเด็นเชื่อมโยงกับเรื่องพลังงาน ได้แก่ การเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญของโลก การมีพื้นที่และเมืองอัจฉริยะที่น่าอยู่ ปลอดภัย เติบโตได้อย่างยั่งยืน การลดความเสี่ยงและผลกระทบจากภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการมีเศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ ในส่วนของ สอวช. ได้ตั้งเป้าหมายสำคัญที่จะร่วมขับเคลื่อนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 10 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยมีโครงการที่ สอวช. มีส่วนร่วมริเริ่ม ได้แก่ โครงการสระบุรีแซนด์บ็อกซ์ ที่นำร่องการสร้างระบบนิเวศและเมืองต้นแบบคาร์บอนต่ำในพื้นที่จังหวัดสระบุรี นอกจากนี้ยังมีการทำ Climate Tech Landscape ในรูปแบบสมุดปกขาว รวมถึงการจัดตั้งเครือข่ายธุรกิจเพื่อการจัดการสภาพภูมิอากาศประเทศไทย (Thailand Climate Business Network: Thai CBN) เพื่อร่วมกันเปลี่ยนผ่านประเทศไทยสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์โดยภาคพลังงาน


ในส่วนของ บพข. ได้นำเสนอประเภทการให้ทุนของหน่วยงาน โดยมีสาขาที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ด้านพลังงานชีวภาพ วัสดุชีวภาพ และชีวเคมี รวมถึงด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน และมีกลไกการส่งเสริมการสร้างความเป็นเลิศของระบบอุดมศึกษาไทยในระดับนานาชาติ เพื่อยกระดับความร่วมมือกับผู้ประกอบการไทยด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (Enabling programs) ผ่านโครงการพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือนานาชาติฯ (Global Partnership) อีกทั้งยังมีสาขาที่มุ่งเน้นในการวิจัยและนวัตกรรมด้านบีซีจี (BCG Research and Innovation) ได้แก่ พลังงานสะอาดคาร์บอนต่ำ พลังงานในสาขาการขนส่งและยานยนต์ไฟฟ้า การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน โรงกลั่นชีวภาพ และแหล่งดูดซับคาร์บอน นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมและช่วยผลักดันการใช้เชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel: SAF) โดยสนับสนุนทุนวิจัยให้แก่ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. ดำเนินงานโครงการพัฒนาเกณฑ์มาตรฐานความยั่งยืน (Sustainability Standards) ของวัตถุดิบสำหรับการผลิต SAF รวมถึงพัฒนาความร่วมมือกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน สถาบันการศึกษา รวมไปถึงภาคประชาสังคมด้วย โดยมีตัวอย่างโครงการที่ดำเนินการอยู่ อาทิ การพัฒนาน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพชนิดติดไฟยากจากน้ำมันปาล์มและนำร่องการทดสอบภาคสนามเชิงบูรณาการ เพื่อผลักดันให้เกิดการใช้งานเชิงพาณิชย์อย่างยั่งยืน การพัฒนาระบบจัดการน้ำหมุนเวียนที่ปล่อยของเหลวเป็นศูนย์ในอุตสาหกรรมแป้งมันสำปะหลัง ฯลฯ





ด้านผู้เชี่ยวชาญจากเยอรมนีได้แลกเปลี่ยนข้อมูลและให้ความสนใจกับพื้นฐานการวิจัยและนวัตกรรมของประเทศไทยในด้านฐานชีวภาพ (Bio-based) นโยบาย การวิจัยและนวัตกรรมที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านพลังงาน นอกจากนี้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการพัฒนาเครือข่ายท่อส่งและโครงสร้างพื้นฐานด้านไฮโดรเจน เพื่อรองรับการขนส่งและใช้งานไฮโดรเจน (Pure Hydrogen Pipeline) ของประเทศเยอรมนี ทั้งนี้เยอรมนีและไทยให้ความสนใจเป็นพิเศษในด้านการพัฒนาพลาสติกชีวภาพ (Bio-Plastic) ซึ่งมีศักยภาพสูงในการพัฒนาต่อยอด โดยเฉพาะการผลิตสารตั้งต้น (intermediate) ในการผลิตพลาสติกชีวภาพ ด้านการพัฒนาเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel: SAF) และเชื้อเพลิงสำหรับการขนส่งทางทะเล (Bio-Fuel for Marine Transport) โดยสรุปผลจากการหารือครั้งนี้จะมีการจัดประชุมหารือในครั้งถัดไปในหัวข้อความร่วมมือที่สนใจร่วมกันอีกในรูปแบบออนไลน์เพื่อสร้างโอกาสความร่วมมือและพัฒนาการทำงานร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรมในอนาคต


