(26 สิงหาคม 2568) สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) โดยฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ร่วมกับสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “บทบาทของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ภายใต้โครงการศึกษาบทบาทและผลกระทบจากร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. …. ต่อภารกิจกระทรวง อว. ณ ห้องประชุมหว้ากอ 1 และ 2 สอวช. อาคารจัตุรัสจามจุรี ชั้น 14 กรุงเทพฯ มีผู้เข้าร่วมประชุมจากหน่วยงานใน อว. รวม 55 คน โดยมี ดร.สุรชัย สถิตคุณารัตน์ ผู้อำนวยการ สอวช. กล่าวเปิดและชี้แจงวัตถุประสงค์ของการประชุม


ดร.สุรชัย กล่าวว่า สอวช. ได้ร่วมทำงานกับกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (สส.) ในการขับเคลื่อนประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมามากกว่า 10 ปี ตั้งแต่ยังเป็นสำนักงานนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) โดยมีบทบาทเป็นส่วนหนึ่งของคณะเจรจาประเทศไทยในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP) มาจนถึงปัจจุบัน ซึ่ง สอวช. เป็นผู้แทนหลักของประเทศไทยในเวทีเจรจาด้านการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยี (Technology Development and Transfer) และยังทำหน้าที่เป็นหน่วยประสานงานกลางด้านการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยด้วย (National Designated Entity: NDE Thailand)

นอกจากนี้ สอวช. ยังได้ทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ กรม สส. สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ในการสนับสนุนการดำเนินงานด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กำหนดทิศทางการขับเคลื่อนงานวิจัย เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศในการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วย

“ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. …. ได้ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (กนภ.) แล้ว และกำลังอยู่ระหว่างเสนอคณะรัฐมนตรี หากในอนาคต พ.ร.บ. นี้มีผลบังคับใช้ จะเป็นกลไกสำคัญในการกำหนดนโยบายและมาตรการรับมือของประเทศอย่างเป็นระบบและครอบคลุม กระทรวง อว. จึงจำเป็นต้องมีการเตรียมความพร้อมตอบสนอง รวมถึงแนวทางในการสนับสนุน ทั้งในด้านการอุดมศึกษา และด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมต่อไป” ดร.สุรชัย กล่าว
ร่าง พ.ร.บ. นี้ มีรายละเอียดที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับบทบาทของกระทรวง อว. ในหลายมิติ ได้แก่ 1. การสนับสนุนนโยบายและแผนแม่บทด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศ 2. การบูรณาการองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ งานวิจัย และนวัตกรรม เพื่อรองรับการลดก๊าซเรือนกระจก (Mitigation) และการปรับตัว (Adaptation) 3. การพัฒนาข้อมูลและระบบฐานข้อมูลก๊าซเรือนกระจกที่มีความถูกต้องและเชื่อถือได้ 4. การส่งเสริมเทคโนโลยีสะอาด พลังงานหมุนเวียน และมาตรการด้านคาร์บอนเครดิต และ 5. ตลอดจนการสร้างศักยภาพบุคลากร การพัฒนาหลักสูตร และการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจแก่สังคมไทย

จากนั้นนายวิศรุจน์ เมืองปลื้ม นักวิชาการสิ่งแวดล้อมชำนาญการ ผู้แทนกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ได้กล่าวถึงบทบาทและความสำคัญของร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยแบ่งออกเป็น 205 มาตรา 14 หมวด 1 บทเฉพาะกาล ประกอบด้วยหมวดที่เกี่ยวกับนโยบายและแผน หมวดที่เกี่ยวข้องกับการลดก๊าซเรือนกระจก หมวดที่เกี่ยวข้องกับการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หมวดเกี่ยวกับกลไกทางการเงิน รวมถึงบทกำหนดโทษตาม พ.ร.บ. นี้ด้วย

ด้าน รศ.วงกต วงศ์อภัย รองผู้อำนวยการ สอวช. ได้กล่าวถึงพันธกิจและกลไกการดำเนินงานของกระทรวง อว. มีแนวทางการพัฒนาเทคโนโลยีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการสร้างระบบนิเวศเทคโนโลยีสีเขียว ประกอบด้วย 1.รัฐบาล 2.ผู้นำ/ผู้บุกเบิก 3.นักวิทยาศาสตร์/นักวิจัย 4.ผู้ประกอบการ 5.นักลงทุน 6.บริษัทที่เกี่ยวข้อง 7.โครงการบ่มเพาะและส่งเสริมสตาร์ทอัพ และ 8.แรงงาน ซึ่งในมิติการพัฒนากำลังคนทักษะสูงพบว่ารูปแบบงานสีเขียวมีอัตราเติบโตที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งในส่วนการเกิดงานใหม่สีเขียว และการเติมทักษะสีเขียว (Green Skills) ในงานเดิม โดย สอวช. ได้ทำการสำรวจความต้องการบุคลากรทักษะสูง ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย พ.ศ. 2568-2572 (THAILAND TALENT LANDSCAPE 2025-2029) ทำให้เห็นว่าทุกตำแหน่งงานต่างต้องการทักษะสีเขียวเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาทักษะกำลังคนด้วย
สอวช. ยังทำงานร่วมกับ อว. ในการจัดทำประกาศทักษะที่พึงประสงค์ของกำลังคนในสาขาต่าง ๆ โดยทักษะอาชีพด้านสิ่งแวดล้อมจะแบ่งเป็น ทักษะของผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาความยั่งยืน (Sustainability Development Specialist) และทักษะของผู้เชี่ยวชาญด้านคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint Specialist) จากนั้นจะมีการจัดทำหลักสูตรฐานทักษะ การประเมินทักษะ และอยู่ในระหว่างการพัฒนาการแสดงผลการศึกษาบนหลักสูตรฐานทักษะ (Skill Transcript) เพื่อให้นักศึกษาสามารถนำไปใช้สมัครงานในสาขาและตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องกับอาชีพสีเขียวได้
ในส่วนมิติวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) รศ.วงกต ได้ยกตัวอย่างนโยบายของ อว. อาทิ ด้านการแก้ไขปัญหาทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และภัยพิบัติ เช่น PM 2.5 น้ำท่วมและภัยแล้ง โดยนำองค์ความรู้เทคโนโลยี และนวัตกรรมมาใช้ เช่น ระบบติดตามสถานการณ์น้ำ ผ่านแอปพลิเคชัน Thai Water ของสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) การใช้ภาพถ่ายดาวเทียมเพื่อติดตามพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ซึ่งช่วยในการเฝ้าระวัง แจ้งเตือน วิเคราะห์ วางแผน และตัดสินใจแก้ไขปัญหา รวมถึงสนับสนุนเครือข่ายมหาวิทยาลัยในพื้นที่เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาน้ำ ใช้ข้อมูลดาวเทียมในการติดตามและประเมินสถานการณ์ PM 2.5 ผ่านแอปพลิเคชัน “เช็คฝุ่น” โดยเน้นการบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ เป็นต้น

ดร.จักรพงศ์ พงศ์ธไนศวรรย์ สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ปรึกษาโครงการ ได้นำเสนอการวิเคราะห์บทบาท อว. ภายใต้ร่าง พ.ร.บ. นี้ โดยแบ่งบทบาทในการพัฒนาองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) ออกเป็น 5 ด้าน ได้แก่ 1. การวางยุทธศาสตร์และนโยบายด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.) 2. การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา (R&D) 3. การพัฒนากำลังคนและทักษะด้าน ววน. 4. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานนวัตกรรมแหละการขยายผลเทคโนโลยี และ 5. การส่งเสริมการมีส่วนร่วมในประเทศและระหว่างประเทศ

ทั้งนี้ ในการประชุมได้จัดกิจกรรมระดมความคิดเห็น โดยแบ่งออกเป็น กิจกรรมที่ 1: การให้ความเห็นต่อผลการวิเคราะห์บทบาท อว. ในการสนับสนุนการดำเนินงานภายใต้พระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 การกำหนดเป้าหมาย แผนแม่บท และแผนปฏิบัติการด้านการลดก๊าซเรือนกระจก กลุ่มที่ 2 การรายงายงานข้อมูลการปล่อยและการลดก๊าซเรือนกระจก กลุ่มที่ 3 กลไกและเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์กองทุนภูมิอากาศ และกลุ่มที่ 4 การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ กิจกรรมที่ 2: การจัดลำดับความสำคัญของบทบาท อว. เพื่อกำหนดเป็นแนวทางการดำเนินงาน เพื่อสนับสนุนพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยใช้เครื่องมือ Importance–Readiness Matrix โดยประเมิน 2 มิติ ได้แก่ 1) ระดับความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ เช่น ความสอดคล้อง พ.ร.บ. ฯ แผนของ ววน. และผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นต้น และ 2) ระดับความพร้อมในการดำเนินงาน เช่น บุคลากร โครงสร้างพื้นฐาน ความร่วมมือ และกฎหมาย เป็นต้น




แผนการดำเนินงานต่อไปของโครงการ มีกำหนดจัดประชุมเชิงปฏิบัติการอีก 2 ครั้ง ได้แก่ การประชุมครั้งที่ 2 ในรูปแบบ Experts panel discussion เพื่อวิเคราะห์ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย กำหนดจัดขึ้นในเดือนกันยายน 2568 และการประชุมครั้งที่ 3 ในรูปแบบ Public hearing เพื่อรับฟังความคิดเห็นต่อ Policy Roadmap ของกระทรวง อว. ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานภายใต้ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยกำหนดจัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2568