messenger icon
×

ข้อเสนอการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารอนาคตของประเทศไทยด้วยวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม


หน้าหลัก » ข้อเสนอการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารอนาคตของประเทศไทยด้วยวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

อุตสาหกรรมเกษตรและอาหารเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจไทย คิดเป็นสัดส่วนกว่า 1 ใน 7 ของ GDP ของประเทศ และเป็นสินค้าส่งออกหลัก คิดเป็นเกือบ 1 ใน 5 ของการส่งออกทั้งหมด  รวมทั้งมีจ้างงานกว่า 1 ใน 3 ของแรงงานทั้งประเทศ  ทั้งนี้ จากแนวโน้มเปลี่ยนแปลงสำคัญของโลก ได้แก่ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ภาวะโลกรวน มาตรการทางการค้าที่เข้มข้น และสังคมผู้สูงอายุ ส่งผลให้อุตสาหกรรมเกษตรและอาหารของไทยจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อเตรียมรับโอกาสและรับมือกับความเสี่ยงจากปัจจัยดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีช่องว่างและความท้าทายหลัก ๆ ได้แก่ (1) การส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารส่วนใหญ่เป็นสินค้าในรูปแบบดั้งเดิมที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำ และ (2) การทำการเกษตรแบบดั้งเดิมที่ใช้เทคโนโลยีต่ำ ส่งผลต่อผลิตภาพการผลิตต่ำ คุณภาพและปริมาณผันผวน รวมไปถึงปัญหา PM 2.5 ในภาคเกษตร การพลิกโฉมอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร (Agri-Food Industrial Transformation) จำเป็นต้องพิจารณาใน 2 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ (1) การเพิ่มสัดส่วนมูลค่าตลาดของอุตสาหกรรมอาหารอนาคต (Future Food) ที่คำนึงถึงเรื่องสุขภาพ ความยั่งยืน และการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการผลิตของประเทศไทย ให้เป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่ (New Growth Engine) ในอุตสาหกรรมอาหาร และ (2) การปรับเปลี่ยนภาคเกษตรแบบดั้งเดิมไปสู่การทำเกษตรแบบทันสมัยและยั่งยืน โดยข้อเสนอฉบับนี้จะมุ่งเน้นการเพิ่มสัดส่วนของผลิตภัณฑ์ในตลาดมูลค่าสูง

“อาหารอนาคต” หรือ “Future food” หมายถึง อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ปลอดภัยต่อสุขภาพ และผลิตด้วยกระบวนการที่ยั่งยืน โดยอาศัยเทคโนโลยีและนวัตกรรม แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ (1) อาหารสุขภาพและสารประกอบเชิงฟังก์ชัน (2) อาหารทางการแพทย์และอาหารเฉพาะบุคคล (3) ผลิตภัณฑ์อินทรีย์และอาหารไม่ปรุงแต่ง (4) โปรตีนทางเลือก ในปี 2566 มูลค่าตลาดอุตสาหกรรมอาหารอนาคตไทยอยู่ที่ 334,700 ล้านบาท โดยกลุ่มอาหารสุขภาพและสารประกอบเชิงฟังก์ชันมีมูลค่าและส่วนแบ่งตลาดมากที่สุดคิดเป็น 77% ของตลาด และอาหารอนาคตคิดเป็น 11% ของมูลค่าการส่งออกอาหารทั้งหมด แนวโน้มเติบโตสูง (CAGR 8.6%) ตรงกับกระแสความต้องการอาหารเพื่อสุขภาพเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ประเทศไทยมีวัตถุดิบท้องถิ่นที่มีศักยภาพสูง เช่น ข้าวมีสี แป้งมันสำปะหลังดัดแปร โกโก้ ชา กาแฟ มะพร้าว สมุนไพร และวัตถุดิบจากกระบวนการชีวภาพ ซึ่งสามารถต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง เช่น เครื่องดื่มผสมวิตามิน และโพรไบโอติก รวมถึงโปรตีนทางเลือกจากวัตถุดิบเกษตร เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ไข่ผำ เห็ดแครง แมลงกินได้ และสาหร่ายท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมอาหารอนาคตของไทยยังเผชิญคอขวดสำคัญในห่วงโซ่การผลิตสารประกอบเชิงฟังก์ชันและโปรตีน ในส่วนต้นน้ำต้องการการบริหารจัดการวัตถุดิบที่มีประสิทธิภาพ ในส่วนกลางน้ำ ประเทศไทยยังขาดการผลิตสารประกอบเชิงฟังก์ชัน (Functional Ingredients) และส่วนประกอบโปรตีน (Protein Ingredients) ภายในประเทศ ในส่วนปลายน้ำ งานวิจัยเกี่ยวกับสารออกฤทธิ์สำคัญจากวัตถุดิบไทยและผลทดสอบทางคลินิก ยังมีไม่เพียงพอ ดังนั้น การพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารอนาคตของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องพัฒนาตลอดห่วงโซ่การผลิต เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้า เร่งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างความเชื่อมโยงระหว่างการวิจัยและอุตสาหกรรม

“ข้อเสนอการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารอนาคตของประเทศไทยด้วยวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม” มีวัตถุประสงค์เพื่อนำวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เข้าไปสนับสนุนการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตและส่งออกเกษตรอาหารของไทย ให้มีสัดส่วนของสินค้าที่ตอบสนองกับความต้องการของตลาดในอนาคตเพิ่มขึ้น ยกระดับความสามารถทางเทคโนโลยี และกลายเป็นเครื่องยนต์ใหม่ที่สำคัญของอุตสาหกรรมเกษตรอาหารไทย โดยมีเป้าหมายสำคัญที่ต้องบรรลุภายในปี 2570 คือ มูลค่าอุตสาหกรรมอาหารอนาคตเพิ่มขึ้นเป็น 500,000 ล้านบาท และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHGs) 0.3 ล้านตัน COeq ตามลำดับ โดยมีข้อเสนอ 3 ประการ ดังนี้

  1. การดึงดูดการลงทุนเทคโนโลยีการสกัดขั้นสูงและการขึ้นรูปเพื่อสร้างอุตสาหกรรมกลางน้ำกลุ่มสารประกอบเชิงฟังก์ชันและโปรตีน (Functional ingredients and Proteins) ผ่านการสนับสนุน BOI ในการสรรหาผู้ประกอบการที่มีเทคโนโลยีผลิตส่วนประกอบฟังก์ชันและโปรตีนขั้นสูงดังตัวอย่างข้างต้น เพื่อให้ BOI พิจารณาสิทธิประโยชน์ที่เหมาะสมเพื่อดึงดูดการลงทุนต่อไป
  2. การสร้างกลุ่มวิจัยและพัฒนา (R&D consortium)  เพื่อบริหารจัดการเครือข่ายอุตสาหกรรมอาหารอนาคตในกลุ่มสารประกอบเชิงฟังก์ชันและโปรตีน (Functional ingredients and Proteins) ผ่านการสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์และนวัตกรรม 
  3. การสร้างระบบมาตรฐานเพื่อพัฒนาตลาด โดยยกระดับมาตรฐานและระบบการรับรองอาหารเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพและสารประกอบเชิงฟังก์ชัน และทดลองระบบการยื่นขอจดแจ้งเพื่อขอกล่าวอ้างเชิงหน้าที่ของสารสำคัญในสินค้าเกษตรและอาหาร ที่มีผลต่อสุขภาพในเชิงบวก (FFC Thailand Sandbox)  และการจัดทำบัญชีรายการสารสำคัญ  (Positive lists)  เพื่อสนับสนุนการขึ้นทะเบียนอาหารอนาคต

ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวจะทำให้มูลค่าสินค้าอาหารอนาคตมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 25 ของอุตสาหกรรมเกษตรอาหารทั้งหมด ภายในปี 2575 และก่อให้เกิดผลลัพธ์สำคัญ ดังนี้

  • ผู้ประกอบการด้านสารสกัดและโปรตีนขั้นสูงของไทย 5 ราย เข้าสู่ห่วงโซ่การผลิตระดับโลก
  • ดึงดูดการลงทุนจากบริษัทเทคโนโลยีขั้นสูง 5 ราย รวมมูลค่า 3,000 ล้านบาท
  • รายได้ของเกษตรกรเพิ่มขึ้น 3 เท่า ภายใน 4 ปี
  • ผู้ประกอบการมีความสามารถในการผลิตสารสกัดและโปรตีนขั้นสูงที่มีความบริสุทธิ์มากกว่าร้อยละ 60 ในระดับอุตสาหกรรม
  • ผลิตภาพของภาคเกษตรที่เข้าสู่อุตสาหกรรมอาหารอนาคตเพิ่มขึ้นร้อยละ 10
  • มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 220,000 ล้านบาท
  • มูลค่าตลาดภายในประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 280,000 ล้านบาท

สามารถอ่านรายละเอียดของข้อเสนอเพิ่มเติมได้ที่: