messenger icon
×
หน้าหลัก » ข่าวประชาสัมพันธ์ » กระทรวง อว. โดย สอวช. และ สจล. จับมือพันธมิตรภาคเอกชนชั้นนำ เปิดตัวโครงการ The Reverse Innovation Journey เชื่อมบริษัทขนาดใหญ่กับสตาร์ทอัพ สร้างนวัตกรรมตอบโจทย์ภาคธุรกิจ

กระทรวง อว. โดย สอวช. และ สจล. จับมือพันธมิตรภาคเอกชนชั้นนำ เปิดตัวโครงการ The Reverse Innovation Journey เชื่อมบริษัทขนาดใหญ่กับสตาร์ทอัพ สร้างนวัตกรรมตอบโจทย์ภาคธุรกิจ

วันที่เผยแพร่ 2 ตุลาคม 2025 316 Views

เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2568 สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ร่วมกับ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และบริษัทเอกชนชั้นนำ ได้แก่ บริษัท อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และ บริษัท วิสอัพ จำกัด เปิดตัวโครงการ “The Reverse Innovation Journey: เส้นทางการสร้างนวัตกรรมจากโจทย์จริง” เพื่อขับเคลื่อนการถ่ายทอดเทคโนโลยีและบริหารจัดการความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ร่วมกับภาคเอกชนรายใหญ่ สร้างผลลัพธ์ทั้งทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจที่จับต้องได้ ณ โรงแรม แรมแบรนดท์ กรุงเทพฯ โดยได้รับเกียรติจาก รศ. ดร.คมสัน มาลีสี อธิการบดี สจล. เป็นผู้กล่าวต้อนรับ และ ดร.สุรชัย สถิตคุณารัตน์ ผู้อำนวยการ สอวช. กล่าวเปิดตัวโครงการ

ดร.สุรชัย กล่าวว่าภารกิจหลักของ สอวช. คือการทำนโยบาย รวมถึงสนับสนุนให้เกิดมาตรการ กลไกต่าง ๆ เพื่อเป็นข้อมูลให้กับรัฐบาลว่าเรื่องใดควรเป็นนโยบายสำคัญของประเทศ โดยจะทำนโยบายทั้งด้านการอุดมศึกษา และด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) ซึ่งงานด้าน ววน. จะครอบคลุมถึงการพัฒนาสตาร์ทอัพในประเทศด้วย ในมุมของ สอวช. เชื่อว่าหากสตาร์ทอัพได้รับฟังความต้องการจากผู้ประกอบการที่มีโจทย์จริงมาให้ จะสามารถหาโซลูชันมาแก้ไขปัญหาได้ดียิ่งขึ้น ช่วยลดขั้นตอนในการทำงาน เกิดผลที่ตรงกับความต้องการ และทำให้สตาร์ทอัพเกิดการเติบโตได้เร็วขึ้นด้วย

สอวช. จึงได้พัฒนา “โมเดลต้นแบบการสร้างความร่วมมือระหว่างบริษัทขนาดใหญ่กับสตาร์ทอัพในมหาวิทยาลัย” เพื่อเป็นโมเดลการทำงานร่วมกันระหว่างภาคธุรกิจและมหาวิทยาลัย ผ่านกิจกรรม อาทิ Reverse Pitching และ Collaborative Bootcamp นอกจากนี้ เรายังได้รับความร่วมมือจากบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจและนวัตกรรมของประเทศ ในการสร้างโจทย์ธุรกิจจริงให้สตาร์ทอัพพัฒนาโซลูชันเชิงนวัตกรรมอีกด้วย

ภายในงานยังได้จัดเวทีเสวนาในหัวข้อ “The Reverse Innovation Journey” โดยมีผู้ร่วมเสวนา ได้แก่ นางสาวมนันยา ชุณหวุฒิยานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายนวัตกรรมเพื่อพัฒนาผู้ประกอบการ สอวช. นางสาวภัคธภา ฉัตรโกเมศ จาก บริษัท อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด นายจิระภัทร์ เยาว์วัชสกุล จาก บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นายโกวินทร์ กุลฤชากร จาก บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นางสาวอณัฐภิสา จันทะไทย จาก ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ดำเนินการเสวนาโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รัชนี กุลยานนท์ รองอธิการบดีฝ่ายนวัตกรรมและความร่วมมือระหว่างประเทศ สจล. และนายอภิวัฒน์ ทองประเสริฐ บริษัท วิสอัพ จำกัด

นางสาวมนันยา กล่าวว่า สอวช. มีความตั้งใจอยากให้ประเทศไทยมีกลไกช่วยให้เกิดความร่วมมือระหว่างบริษัทขนาดใหญ่กับสตาร์ทอัพ และในฐานะที่ สอวช. เป็นหน่วยงานนโยบายเรามองเห็นโอกาสสำคัญในการสร้างความร่วมมือกับทั้ง 2 ภาคส่วนนี้ โดยบริษัทขนาดใหญ่มีทั้งทรัพยากร มีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม และมีตลาด ส่วนสตาร์ทอัพมีความคล่องตัวสูง มีไอเดียและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ถ้าทำงานร่วมกันก็จะทำให้นวัตกรรมเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

สอวช. เริ่มทำการวิจัยเชิงนโยบายในปีที่ผ่านมาพบว่า การขับเคลื่อนกลไกความร่วมมือนี้ต้องอาศัยตัวกลางเข้ามาช่วย และตัวกลางที่เหมาะสมที่สุดคือมหาวิทยาลัย ที่มีทั้งองค์ความรู้ งานวิจัย มีสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพที่ได้รับการบ่มเพาะ ที่สำคัญคือมหาวิทยาลัยหลายแห่งมีการจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้งที่มีความคล่องตัวสูง ช่วยเชื่อมโยงทรัพยากรต่าง ๆ ในการทำงานร่วมกับภาคเอกชนได้ ในส่วนของการทำ Reverse Pitching เป็นเครื่องมือที่น่าสนใจ จึงอยากสร้างแรงจูงใจให้มหาวิทยาลัยได้ทดลองนำเครื่องมือนี้ไปใช้ ช่วยให้บริษัทได้เข้ามาเปิดโจทย์เชิงธุรกิจจริง และสตาร์ทอัพสามารถพัฒนาโซลูชันได้อย่างตรงจุด ให้ผลงานที่ออกมาสามารถใช้ประโยชน์ได้จริง ตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ของประเทศในการนำผลงานวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์และการสร้างให้เกิดผู้ประกอบการธุรกิจฐานนวัตกรรม

“จากความร่วมมือที่เกิดขึ้นนี้ อยากให้ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ บริษัทใหญ่ได้โซลูชันตอบโจทย์การขับเคลื่อนธุรกิจ สตาร์ทอัพเติบโตจากการได้รับความร่วมมือจากทั้งบริษัทใหญ่และมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยได้ขับเคลื่อนงานวิจัยและทรัพยากรของตัวเองอย่างมีคุณค่า และ สอวช. ได้เครื่องมือเชิงนโยบายที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่ากลไกนี้ช่วยเชื่อมโยงให้บริษัทใหญ่และสตาร์ทอัพทำงานร่วมกันและสร้างผลงานให้เกิดขึ้นได้จริง”

นางสาวมนันยา กล่าว นางสาวมนันยา ยังได้กล่าวทิ้งท้ายว่า หลังจากขับเคลื่อนเรื่องนี้ต่อไป คาดว่าจะได้สามารถถอดบทเรียนที่เป็นข้อมูลเชิงลึก นำไปขยายผลต่อยอดเป็นมาตรการกลไกอื่น ๆ ได้ นอกจากนี้ ยังช่วยสร้างความมั่นใจว่าประเทศไทยจะสามารถพัฒนานวัตกรรมให้ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมได้อย่างแท้จริง

เรื่องล่าสุด