เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ร่วมกับ ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) โดย ศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารฟังก์ชันเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จัดประชุมรับฟังความคิดเห็น “แนวทางการเพิ่มหน่วยประเมินความปลอดภัยและประเมินการกล่าวอ้างทางสุขภาพ: Powering Up Food Safety & Health Evaluation” ณ อาคารจัตุรัสจามจุรี ชั้น 14 ห้องประชุมหว้ากอ 1 สอวช. และผ่านระบบออนไลน์ โดยมี ดร.สิริพร พิทยโสภณ รองผู้อำนวยการ สอวช. และ ผศ. ดร.พีรพงษ์ พรวงศ์ทอง หัวหน้าโครงการศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารฟังก์ชันเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ทปอ. กล่าวชี้แจงวัตถุประสงค์ในการประชุม

ดร.สิริพร กล่าวว่า การประชุมในครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อรวบรวมข้อคิดเห็นจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต่อสถานการณ์ปัจจุบัน ปัญหา ข้อจำกัด และข้อเสนอแนะต่อการเพิ่มหน่วยประเมินความปลอดภัยและประเมินการกล่าวอ้างทางสุขภาพ โดยเฉพาะในกลุ่มอาหารทางการแพทย์หรืออาหารเฉพาะบุคคล ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่าตลาดทั่วโลกในปี 2567 สูงถึงกว่า 2.3 แสนล้านบาท และเติบโตเฉลี่ย 8–10% ต่อปี ในขณะที่มูลค่าตลาดประเทศไทย ปี 2567 ภายในประเทศอยู่ที่ 9,500 ล้านบาท และส่งออกที่ 7,000 ล้านบาท ประกอบกับแนวโน้มด้านสุขภาพของประชากรไทยที่เข้าสู่สังคมสูงวัย ความต้องการอาหารเฉพาะกลุ่มจึงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ระบบรองรับด้านการประเมินผลิตภัณฑ์ในประเทศยังมีข้อจำกัด ทั้งในแง่ของจำนวนหน่วยงาน และจำนวนผู้เชี่ยวชาญ ส่งผลต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การขึ้นทะเบียน และการนำงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ การเพิ่มหน่วยประเมินความปลอดภัยและการกล่าวอ้างทางสุขภาพ การรวมศูนย์ผู้เชี่ยวชาญ และการพัฒนาอบรมเพิ่มศักยภาพผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัย อาจเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยลดอุปสรรคดังกล่าว รองรับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นจากภาคการผลิตและการวิจัย พร้อมทั้งยกระดับมาตรฐานของประเทศไทยให้สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล โดยหน่วยประเมินฯ ควรมีความสามารถในการวิเคราะห์เชิงวิทยาศาสตร์อย่างเป็นระบบ เป็นกลาง โปร่งใส และเชื่อถือได้

“การประชุมในวันนี้เป็นก้าวแรกสู่การจัดทำ (ร่าง) ข้อเสนอเชิงนโยบายเกี่ยวกับแนวทางการสนับสนุนหน่วยประเมินฯ และการพัฒนาผู้เชี่ยวชาญที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพียงพอและเหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย เพื่อสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมอาหาร และเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันเชิงเศรษฐกิจในระยะยาว หวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อคิดเห็นในวันนี้จะนำไปสู่ข้อเสนอแนะเชิงระบบที่สามารถขับเคลื่อนนโยบายและการปฏิบัติให้เกิดผลได้อย่างแท้จริง” ดร.สิริพร กล่าว

ผศ. ดร.พีรพงษ์ กล่าวว่า การได้มาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนกันในครั้งนี้ เป็นประเด็นสำคัญมากในการผลักดันอุตสาหกรรมอาหารอนาคตเพื่อเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจของไทย ซึ่งเรื่องนี้ไม่สามารถขับเคลื่อนเพียงแค่ในองค์กรใดองค์กรหนึ่งได้ แต่ต้องมีการบูรณาการการทำงานและการวางเป้าหมายร่วมกัน โดยงานในวันนี้ได้รับเกียรติจากวิทยากรที่มาให้ข้อมูลทั้งในส่วนกระบวนการขึ้นทะเบียน ความเป็นมา และร่วมพูดคุยกันถึงแนวทางที่เราจะทำให้การประเมินฯ รวดเร็วขึ้น ทำให้ภาคเอกชนมีขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างระบบนิเวศจากการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ หวังว่าการเปิดรับฟังความเห็นครั้งนี้ จะเป็นแนวทางให้เกิดนโยบายใหม่ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารอนาคตได้ต่อไป

จากนั้นได้มีการกล่าวถึงหลักเกณฑ์และกระบวนการการขึ้นทะเบียนหน่วยประเมินความปลอดภัยและประเมินการกล่าวอ้างทางสุขภาพ โดย เภสัชกรเลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา และนางสาวณัชชา จันไขโคตร นักวิชาการอาหารและยาชำนาญการพิเศษ ผู้แทนจาก อย.
เภสัชกรเลิศชาย ได้ชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงเรื่องอาหารที่เกิดขึ้นทั่วโลก รวมถึงทิศทางการรับประทานอาหารเพื่อเป็นยา ดังนั้นจึงต้องให้ความสำคัญอย่างมากกับการที่ผู้บริโภคได้รับความคุ้มครองและได้บริโภคอาหารที่ปลอดภัย ซึ่ง อย. ได้ขับเคลื่อนเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง และในช่วง 3-4 ปีนี้ก็เริ่มมีการปรับมุมมองมาคิดเรื่องการเพิ่มมูลค่าให้กับอาหารเพิ่มขึ้นด้วย
“กรอบการทำงานใหญ่ของ อย. คือการขับเคลื่อนให้เกิด Ease of Doing Business ให้การประกอบธุรกิจง่ายขึ้น และส่วนหนึ่งที่สำคัญคือการเพิ่มจำนวนหน่วยประเมินฯ ที่จะช่วยลดระยะเวลาในการดำเนินงาน แต่ขณะเดียวกันประสิทธิภาพและคุณภาพจะต้องไม่ลดลงไปด้วย ต้องขอบคุณทีมงานทุกคนที่ร่วมขับเคลื่อนเรื่องนี้ให้เกิดขึ้น และในส่วนของ อย. ยังขับเคลื่อนผ่านการปรับแก้ประกาศต่าง ๆ ให้เอื้อต่อการดำเนินงานที่สะดวกและทันต่อสถานการณ์มากขึ้นด้วย” เภสัชกรเลิศชาย กล่าว

ด้านนางสาวณัชชา ได้กล่าวถึงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง หลักเกณฑ์การขอขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยประเมินฯ ขั้นตอนการขอขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยประเมินฯ และความท้าทาย ทั้งในส่วนการพัฒนาศักยภาพบุคลากรและระบบประเมินอย่างมืออาชีพ บูรณาการการประเมินกับการตัดสินใจเชิงนโยบายและการพัฒนาองค์กร รวมถึงส่งเสริมการสร้างเครือข่ายและการมีส่วนร่วมของนักวิชาการ

นอกจากนี้ ดร.ชาลินี คงสวัสดิ์ รักษาการผู้อำนวยการฝ่ายความปลอดภัยทางชีวภาพ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) ยังได้ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำหน้าที่หน่วยประเมินความปลอดภัยโดยปกติฝ่ายความปลอดภัยทางชีวภาพ ไบโอเทคมีกิจกรรมหลักแบ่งออกเป็น 1. พัฒนามาตรฐานด้านเทคนิค 2. สร้างความสามารถบุคลากรด้านเทคนิค และ 3. เป็นที่ปรึกษาด้านเทคนิค ที่ผ่านมาไบโอเทคร่วมกับ อย. พัฒนามาตรฐานด้านเทคนิคและผู้เชี่ยวชาญในการประเมินอาหารจากสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม ปัจจุบันไบโอเทคมีขอบข่ายการประเมินความปลอดภัยครอบคลุม 1. อาหารจากสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม 2. เอนไซม์ 3. วัตถุเจือปนอาหาร สารช่วยในกระบวนการผลิต ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหรือฆ่าเชื้อที่ได้จากจุลินทรีย์ดัดแปลงพันธุกรรมซึ่งไม่มีประวัติการบริโภคเป็นอาหารและไม่ใช่สิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม 4. โพรไบโอติก 5. อาหารใหม่ ที่ได้มาจากจุลินทรีย์ดัดแปลงพันธุกรรมและจากการเพาะเลี้ยงเซลล์สัตว์

ทั้งนี้ ที่ประชุมยังได้ร่วมแลกเปลี่ยนความเห็น ในประเด็นการจัดกลุ่มผลิตภัณฑ์ตามความเสี่ยง (Risk-Based Grouping) Low Risk, Medium Risk, และ High Risk ตามวัตถุประสงค์และลักษณะของผลิตภัณฑ์ และกำหนดเกณฑ์การประเมินที่เหมาะสมกับความเสี่ยงและกรอบเวลาการการประเมินที่เหมาะสม จัดอบรมและพัฒนาเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญ (Capacity building) ผ่านศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญฯ สร้างความรู้ ความเข้าใจ เรื่องมาตรฐานการประเมิน บทบาทหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญ การบริหารจัดการ สำหรับหน่วยงานที่ประสงค์ขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยประเมินความปลอดภัย และการสำรวจเพื่อดูแนวโน้มความต้องการการประเมินการกล่าวอ้างทางสุขภาพของผู้ประกอบการอีกด้วย