messenger icon
×
หน้าหลัก » ข่าวประชาสัมพันธ์ » กระทรวง อว.โดย สอวช. เผยแนวทางการดำเนินงานระหว่างภาครัฐและสถาบันการศึกษา ชูโครงการนำร่อง Net Zero Campus เพื่อร่วมขับเคลื่อนสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

กระทรวง อว.โดย สอวช. เผยแนวทางการดำเนินงานระหว่างภาครัฐและสถาบันการศึกษา ชูโครงการนำร่อง Net Zero Campus เพื่อร่วมขับเคลื่อนสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

วันที่เผยแพร่ 29 กรกฎาคม 2025 27 Views

รศ.วงกต วงศ์อภัย รองผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) เข้าร่วมการเสวนาเรื่อง “การปรับตัวของภาครัฐและสถาบันการศึกษา เพื่อก้าวสู่ยุค Net Zero อย่างยั่งยืน” จัดโดย คณะกรรมการสาขาวิศวกรรมอุตสาหกรรม วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ภายในงาน “วิศวกรรมแห่งชาติ 2568 (International Engineering Expo 2025)” เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 จัดขึ้น ณ ห้อง MR209D ชั้น 2 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยเป็นการแลกเปลี่ยนมุมมองด้านนโยบายและบทบาทของภาครัฐ ทิศทางการขับเคลื่อนของภาคการศึกษาและภาคอุตสาหกรรม รวมถึงถอดบทเรียนและสร้างความร่วมมือสู่การปฏิบัติจริง ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นวาระสำคัญที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันขับเคลื่อน โดยเฉพาะภาครัฐ สถาบันการศึกษา และภาคอุตสาหกรรม ที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) อย่างยั่งยืน

รศ.วงกต กล่าวถึงเป้าหมายสำคัญที่ สอวช. จะร่วมขับเคลื่อนให้สำเร็จภายในปี พ.ศ. 2570 คือการสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจก 10 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยหนึ่งในโครงการที่จะเข้ามาช่วยให้บรรลุเป้าหมายนี้คือโครงการเครือข่ายมหาวิทยาลัยขับเคลื่อนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero Campus ที่จะสร้างให้เกิดกลไกการขับเคลื่อนเริ่มจากในมหาวิทยาลัย ก่อนจะให้บุคลากรในมหาวิทยาลัยได้ออกไปช่วยสนับสนุนกลไกในโรงงานอุตสาหกรรม ภาคอาคาร ภาคธุรกิจการค้า ภาคขนส่ง ภาคเกษตรกรรม ในการลดก๊าซเรือนกระจกและลดการใช้พลังงาน โดยจะใช้กลไกและนวัตกรรมสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ผ่านการดำเนินการร่วมกับภาคีเครือข่าย

สำหรับโครงการที่ สอวช. มีส่วนร่วมริเริ่มเพื่อการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้แก่ โครงการสระบุรีแซนด์บ็อกซ์ ที่เริ่มนำร่องการสร้างระบบนิเวศและเมืองต้นแบบคาร์บอนต่ำในพื้นที่จังหวัดสระบุรี เป็นการเชื่อมโยงการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคอุตสาหกรรม รวม 23 หน่วยงาน จาก 7 กระทรวง นอกจากนี้ยังมีการทำ Climate Tech Landscape ในรูปแบบสมุดปกขาว รวมถึงการจัดตั้งเครือข่ายธุรกิจเพื่อการจัดการสภาพภูมิอากาศประเทศไทย” (Thailand Climate Business Network: Thai CBN) ที่ประกอบด้วย 25 องค์กร ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา ภาคการเงินและการธนาคาร องค์กรและธุรกิจต่างประเทศ เพื่อร่วมกันเปลี่ยนผ่านประเทศไทยสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

ในส่วนของโครงการ Net Zero Campus สอวช. ทำงานร่วมกับกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (สส.) รวมถึงเครือข่ายมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ตั้งเป้าให้มีการขับเคลื่อนนำร่องใน 50 มหาวิทยาลัย ซึ่งอยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลเส้นทางการเปลี่ยนผ่านของแต่ละมหาวิทยาลัยว่ามีความพร้อมมากน้อยแค่ไหน มีแผนการดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของมหาวิทยาลัยอย่างไร จัดสรรงบประมาณอย่างไร และตั้งเป้าหมายว่าจะสำเร็จภายในปีไหน โดยท้ายที่สุดแล้วจะต้องตั้งเป้าให้สอดคล้องไปกับหมุดหมายของไทยและของโลกที่ต้องบรรลุภายในปี ค.ศ. 2050 การดำเนินโครงการในปัจจุบันอยู่ในช่วงเฟสที่ 2 ที่เป็นการสำรวจข้อมูลเชิงลึกในด้านนโยบายและการดำเนินงานด้านก๊าซเรือนกระจกของแต่ละมหาวิทยาลัย มีการขยายฐานข้อมูลการปล่อยและการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกของเครือข่ายมหาวิทยาลัยผ่านแพลตฟอร์ม และจะมีการจัดประชุมสัญจร 4 ภูมิภาค รวมถึงจัดทำสมุดปกขาวเพื่อการพัฒนามุ่งสู่เป้าหมายการขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยไทยไปสู่มหาวิทยาลัยที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ต่อไป โดยเมื่อเดือนพฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมาได้มีการจัดประชุมสมาชิกเครือข่ายมหาวิทยาลัยยั่งยืนแห่งประเทศไทย (SUN Thailand) สัญจร ครั้งที่ 1 ประจำปี 2568 ณ มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง เพื่อนำเสนอการดำเนินงานและความสำคัญของโครงการ Net Zero Campus และจะมีการจัดประชุมผู้บริหารสัญจร (ภาคกลาง) ในการขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยไทยสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในช่วงปลายเดือนกรกรกฎาคม 2568 ด้วย

รศ.วงกต ยังได้เผยข้อมูลจากการสำรวจความต้องการบุคลากรทักษะสูงรายอุตสาหกรรมใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ในระยะ 5 ปี พ.ศ. 2568-2572 (Talent Landscape 2025-2029) ที่พบว่า อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพ เคมีชีวภาพ เทคโนโลยีชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว มีความต้องการกำลังคนกว่า 13,372 ตำแหน่ง อาทิ Materials Engineer, ESG Specialist, Bioenergy and Biochemical Refinery Technology Scientist, Biophysical Chemist, Internal Audit เป็นต้น ซึ่งแนวทางยกระดับอาชีพด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน จะมีการทำ Skill Mapping การจัดทำประกาศทักษะที่พึงประสงค์ของกำลังคนในสาขาต่าง ๆ โดยทักษะอาชีพด้านสิ่งแวดล้อมจะแบ่งเป็น ทักษะของผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาความยั่งยืน (Sustainability Development Specialist) และทักษะของผู้เชี่ยวชาญด้านคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint Specialist) จากนั้นจะมีการจัดทำหลักสูตรฐานทักษะ การประเมินทักษะ และได้ผลลัพธ์เป็นใบแสดงผลการศึกษาบนหลักสูตรฐานทักษะ (Skill Transcript) เพื่อให้นักศึกษาสามารถนำไปใช้สมัครงานในสาขาและตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องกับอาชีพสีเขียวได้

สอวช. ยังได้จัดทำโครงการศึกษาข้อมูลทักษะและองค์ความรู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียว (Green Skills and Knowledge Concepts) ที่พึงประสงค์ในบริบทของอุตสาหกรรมของประเทศไทย โดยผลจากการวิเคราะห์พบว่าทักษะความยั่งยืนสำหรับอุตสาหกรรมในประเทศไทย แบ่งออกเป็น 3 ระดับหลัก ได้แก่ 1. ทักษะระดับพื้นฐาน (ฐานพีระมิด) เน้นทัศนคติและทักษะทางสังคม (Attitudes and soft skills) ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญ 2. ทักษะระดับข้ามภาคส่วน (กลางพีระมิด) เน้นทักษะและองค์ความรู้เพื่อความยั่งยืนข้ามภาคส่วน (Cross-sectoral) และ 3. ทักษะระดับเฉพาะ (ยอดพีระมิด) ทักษะและองค์ความรู้เพื่อความยั่งยืนเฉพาะภาคส่วน (Sector-specific) โดยทัศนคติและทักษะทางสังคมที่จำเป็น อาทิ การคิดวิเคราะห์ (Critical thinking) ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) ความตระหนักเรื่องสิ่งแวดล้อม (Environmental awareness) การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong learning) การสื่อสาร (Communication) เป็นต้น

ในช่วงท้าย รศ.วงกต ยังได้สรุปให้เห็นผลการวิเคราะห์การเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนของภาคอุตสาหกรรมไทย โดยมีปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนความสำเร็จ ประกอบด้วย 1.ทุนมนุษย์ ที่จะเป็นรากฐานของความยั่งยืน 2.ความร่วมมือข้ามบทบาทเพื่อรับมือความซับซ้อน 3.บทบาททุกตำแหน่งต้องร่วมขับเคลื่อนความยั่งยืน 4.วัฒนธรรมองค์กรมีพลังเทียบเท่าทักษะ 5.เริ่มต้นจากโครงการเล็ก เพื่อสร้างแรงผลักดัน 6.การฝึกอบรมที่ขยายผลได้คือกุญแจสำคัญ 7.เส้นทางการปรับทักษะ Reskill สำหรับบทบาทใหม่ด้านความยั่งยืน 8.ภาวะผู้นำและโครงสร้างที่ชัดเจนคือหัวใจสำคัญ 9.เครือข่ายแบ่งปันความรู้ช่วยเร่งการเปลี่ยนแปลง และ 10.แรงสนับสนุนจากภายนอกที่ช่วยเร่งการเปลี่ยนแปลง

เรื่องล่าสุด