รศ.วงกต วงศ์อภัย รองผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) เข้าร่วมการเสวนาเรื่อง “การปรับตัวของภาครัฐและสถาบันการศึกษา เพื่อก้าวสู่ยุค Net Zero อย่างยั่งยืน” จัดโดย คณะกรรมการสาขาวิศวกรรมอุตสาหกรรม วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ภายในงาน “วิศวกรรมแห่งชาติ 2568 (International Engineering Expo 2025)” เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 จัดขึ้น ณ ห้อง MR209D ชั้น 2 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยเป็นการแลกเปลี่ยนมุมมองด้านนโยบายและบทบาทของภาครัฐ ทิศทางการขับเคลื่อนของภาคการศึกษาและภาคอุตสาหกรรม รวมถึงถอดบทเรียนและสร้างความร่วมมือสู่การปฏิบัติจริง ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นวาระสำคัญที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันขับเคลื่อน โดยเฉพาะภาครัฐ สถาบันการศึกษา และภาคอุตสาหกรรม ที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) อย่างยั่งยืน

รศ.วงกต กล่าวถึงเป้าหมายสำคัญที่ สอวช. จะร่วมขับเคลื่อนให้สำเร็จภายในปี พ.ศ. 2570 คือการสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจก 10 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยหนึ่งในโครงการที่จะเข้ามาช่วยให้บรรลุเป้าหมายนี้คือโครงการเครือข่ายมหาวิทยาลัยขับเคลื่อนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero Campus ที่จะสร้างให้เกิดกลไกการขับเคลื่อนเริ่มจากในมหาวิทยาลัย ก่อนจะให้บุคลากรในมหาวิทยาลัยได้ออกไปช่วยสนับสนุนกลไกในโรงงานอุตสาหกรรม ภาคอาคาร ภาคธุรกิจการค้า ภาคขนส่ง ภาคเกษตรกรรม ในการลดก๊าซเรือนกระจกและลดการใช้พลังงาน โดยจะใช้กลไกและนวัตกรรมสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ผ่านการดำเนินการร่วมกับภาคีเครือข่าย
สำหรับโครงการที่ สอวช. มีส่วนร่วมริเริ่มเพื่อการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้แก่ โครงการสระบุรีแซนด์บ็อกซ์ ที่เริ่มนำร่องการสร้างระบบนิเวศและเมืองต้นแบบคาร์บอนต่ำในพื้นที่จังหวัดสระบุรี เป็นการเชื่อมโยงการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคอุตสาหกรรม รวม 23 หน่วยงาน จาก 7 กระทรวง นอกจากนี้ยังมีการทำ Climate Tech Landscape ในรูปแบบสมุดปกขาว รวมถึงการจัดตั้งเครือข่ายธุรกิจเพื่อการจัดการสภาพภูมิอากาศประเทศไทย” (Thailand Climate Business Network: Thai CBN) ที่ประกอบด้วย 25 องค์กร ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา ภาคการเงินและการธนาคาร องค์กรและธุรกิจต่างประเทศ เพื่อร่วมกันเปลี่ยนผ่านประเทศไทยสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

ในส่วนของโครงการ Net Zero Campus สอวช. ทำงานร่วมกับกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (สส.) รวมถึงเครือข่ายมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ตั้งเป้าให้มีการขับเคลื่อนนำร่องใน 50 มหาวิทยาลัย ซึ่งอยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลเส้นทางการเปลี่ยนผ่านของแต่ละมหาวิทยาลัยว่ามีความพร้อมมากน้อยแค่ไหน มีแผนการดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของมหาวิทยาลัยอย่างไร จัดสรรงบประมาณอย่างไร และตั้งเป้าหมายว่าจะสำเร็จภายในปีไหน โดยท้ายที่สุดแล้วจะต้องตั้งเป้าให้สอดคล้องไปกับหมุดหมายของไทยและของโลกที่ต้องบรรลุภายในปี ค.ศ. 2050 การดำเนินโครงการในปัจจุบันอยู่ในช่วงเฟสที่ 2 ที่เป็นการสำรวจข้อมูลเชิงลึกในด้านนโยบายและการดำเนินงานด้านก๊าซเรือนกระจกของแต่ละมหาวิทยาลัย มีการขยายฐานข้อมูลการปล่อยและการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกของเครือข่ายมหาวิทยาลัยผ่านแพลตฟอร์ม และจะมีการจัดประชุมสัญจร 4 ภูมิภาค รวมถึงจัดทำสมุดปกขาวเพื่อการพัฒนามุ่งสู่เป้าหมายการขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยไทยไปสู่มหาวิทยาลัยที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ต่อไป โดยเมื่อเดือนพฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมาได้มีการจัดประชุมสมาชิกเครือข่ายมหาวิทยาลัยยั่งยืนแห่งประเทศไทย (SUN Thailand) สัญจร ครั้งที่ 1 ประจำปี 2568 ณ มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง เพื่อนำเสนอการดำเนินงานและความสำคัญของโครงการ Net Zero Campus และจะมีการจัดประชุมผู้บริหารสัญจร (ภาคกลาง) ในการขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยไทยสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในช่วงปลายเดือนกรกรกฎาคม 2568 ด้วย
รศ.วงกต ยังได้เผยข้อมูลจากการสำรวจความต้องการบุคลากรทักษะสูงรายอุตสาหกรรมใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ในระยะ 5 ปี พ.ศ. 2568-2572 (Talent Landscape 2025-2029) ที่พบว่า อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพ เคมีชีวภาพ เทคโนโลยีชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว มีความต้องการกำลังคนกว่า 13,372 ตำแหน่ง อาทิ Materials Engineer, ESG Specialist, Bioenergy and Biochemical Refinery Technology Scientist, Biophysical Chemist, Internal Audit เป็นต้น ซึ่งแนวทางยกระดับอาชีพด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน จะมีการทำ Skill Mapping การจัดทำประกาศทักษะที่พึงประสงค์ของกำลังคนในสาขาต่าง ๆ โดยทักษะอาชีพด้านสิ่งแวดล้อมจะแบ่งเป็น ทักษะของผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาความยั่งยืน (Sustainability Development Specialist) และทักษะของผู้เชี่ยวชาญด้านคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint Specialist) จากนั้นจะมีการจัดทำหลักสูตรฐานทักษะ การประเมินทักษะ และได้ผลลัพธ์เป็นใบแสดงผลการศึกษาบนหลักสูตรฐานทักษะ (Skill Transcript) เพื่อให้นักศึกษาสามารถนำไปใช้สมัครงานในสาขาและตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องกับอาชีพสีเขียวได้

สอวช. ยังได้จัดทำโครงการศึกษาข้อมูลทักษะและองค์ความรู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียว (Green Skills and Knowledge Concepts) ที่พึงประสงค์ในบริบทของอุตสาหกรรมของประเทศไทย โดยผลจากการวิเคราะห์พบว่าทักษะความยั่งยืนสำหรับอุตสาหกรรมในประเทศไทย แบ่งออกเป็น 3 ระดับหลัก ได้แก่ 1. ทักษะระดับพื้นฐาน (ฐานพีระมิด) เน้นทัศนคติและทักษะทางสังคม (Attitudes and soft skills) ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญ 2. ทักษะระดับข้ามภาคส่วน (กลางพีระมิด) เน้นทักษะและองค์ความรู้เพื่อความยั่งยืนข้ามภาคส่วน (Cross-sectoral) และ 3. ทักษะระดับเฉพาะ (ยอดพีระมิด) ทักษะและองค์ความรู้เพื่อความยั่งยืนเฉพาะภาคส่วน (Sector-specific) โดยทัศนคติและทักษะทางสังคมที่จำเป็น อาทิ การคิดวิเคราะห์ (Critical thinking) ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) ความตระหนักเรื่องสิ่งแวดล้อม (Environmental awareness) การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong learning) การสื่อสาร (Communication) เป็นต้น

ในช่วงท้าย รศ.วงกต ยังได้สรุปให้เห็นผลการวิเคราะห์การเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนของภาคอุตสาหกรรมไทย โดยมีปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนความสำเร็จ ประกอบด้วย 1.ทุนมนุษย์ ที่จะเป็นรากฐานของความยั่งยืน 2.ความร่วมมือข้ามบทบาทเพื่อรับมือความซับซ้อน 3.บทบาททุกตำแหน่งต้องร่วมขับเคลื่อนความยั่งยืน 4.วัฒนธรรมองค์กรมีพลังเทียบเท่าทักษะ 5.เริ่มต้นจากโครงการเล็ก เพื่อสร้างแรงผลักดัน 6.การฝึกอบรมที่ขยายผลได้คือกุญแจสำคัญ 7.เส้นทางการปรับทักษะ Reskill สำหรับบทบาทใหม่ด้านความยั่งยืน 8.ภาวะผู้นำและโครงสร้างที่ชัดเจนคือหัวใจสำคัญ 9.เครือข่ายแบ่งปันความรู้ช่วยเร่งการเปลี่ยนแปลง และ 10.แรงสนับสนุนจากภายนอกที่ช่วยเร่งการเปลี่ยนแปลง
