สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ร่วมกับ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) และสถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ (สรอ.) จัดการประชุมรับฟังความคิดเห็นภาคสาธารณะต่อตัวชี้วัดสำหรับผู้ประกอบการเศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียว ที่อยู่ในกระบวนการพัฒนาเป็นมาตรฐานการตรวจสอบและรับรองแห่งชาติ (มตช.) (Green Enterprise Indicator: GEI) ภายใต้โครงการพัฒนาร่างมาตรฐานตัวชี้วัดสำหรับผู้ประกอบการเศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียว เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2568 ณ ห้องประชุมหว้ากอ 1 สอวช. และผ่านระบบออนไลน์ โดยมี รศ.วงกต วงศ์อภัย รองผู้อำนวยการ สอวช. เป็นผู้กล่าวต้อนรับและเปิดการประชุม ดร.ศรวณีย์ สิงห์ทอง ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายเพื่อความยั่งยืน สอวช. กล่าวถึงความเป็นมาของโครงการและแนวทางการพัฒนาต่อยอด และนางจุรีพร บุญ-หลง ผู้จัดการโครงการ สรอ.และคณะนำเสนอผลการจัดทำมาตรฐาน GEI เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และจัดทำเป็นรายงานฉบับสมบูรณ์เพื่อปรับปรุง GEI เสนอต่อ สอวช. และ สมอ. ต่อไป

รศ.วงกต กล่าวว่า ภายใต้โครงการฯ นี้ ทาง สอวช. สมอ. สรอ. สสว. และ สอท. ร่วมกันพัฒนาตัวชี้วัดสำหรับผู้ประกอบการเปลี่ยนผ่าน ทั้งในส่วนของเศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียว ในระดับมาตรฐานการตรวจสอบและรับรองแห่งชาติ (มตช.) ซึ่ง สอวช. ได้ดำเนินการพัฒนาร่างมาตรฐาน GEI และผ่านการประชุมแลกเปลี่ยนความเห็นร่วมกับผู้เกี่ยวข้องหลายวาระตามกระบวนการการพัฒนามาตรฐานสากล มีจุดประสงค์หลักคือเพื่อนำมาตรฐานนี้ไปใช้ในการสนับสนุนกลุ่มผู้ประกอบการทุกขนาดตั้งแต่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) จนถึงระดับขนาดใหญ่ และครอบคลุมทุกรายสาขา เพื่อเป็นเครื่องมือรองรับการเปลี่ยนผ่านไปสู่การพัฒนาผู้ประกอบการเศรษฐกิจหมุนเวียนและคาร์บอนต่ำ ผ่านการกำหนดตัวชี้วัดในด้านต่างๆทีเหมาะสม ซึ่งเป็นจะนำไปสู่การกำหนดเป้าองค์กรในปัจจุบันและอนาคตที่สอดคล้องกับความพร้อมขององค์กรนั้น ๆ

เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contributions: NDC) ในปี พ.ศ. 2573 ประเทศไทยจำเป็นต้องลดก๊าซเรือนกระจกในทุกภาคส่วน รวมถึงกลุ่ม SME ให้เข้ามามีส่วนร่วม ทั้งนี้การบรรลุเป้าหมาย NDC มีความสำคัญ ทั้งต่อสถานภาพ (Positioning) และการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ จึงเป็นเหตุผลในการพัฒนาร่างมาตรฐาน GEI ให้เป็นระดับ มตช. โดยเน้นให้เป็นเครื่องมือที่จะเชื่อมโยงระบบสนับสนุนต่าง ๆ ให้กับการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

“ร่างมาตรฐาน GEI นี้ ได้ผ่านการสำรวจความต้องการในการประชุมผู้เชี่ยวชาญมาแล้วหลายครั้ง และได้รับความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการวิชาการของ สมอ. แล้ว 2 คณะ คือ คณะที่ 3 มาตรฐานสิ่งแวดล้อม และคณะที่ 14 มาตรฐานเศรษฐกิจหมุนเวียน การเปิดรับฟังความเห็นครั้งนี้จึงเป็นการช่วยเติมเต็มช่องว่าง เพื่อนำไปสู่การพัฒนาประเทศร่วมกันต่อไป” รศ.วงกต กล่าว

ด้าน ดร.ศรวณีย์ สิงห์ทอง ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายเพื่อความยั่งยืน สอวช. ได้กล่าวแนะนำความเป็นมาของการจัดทำมาตรฐาน GEI โดยที่ สอวช. ริเริ่มขับเคลื่อนเรื่องเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy: CE) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 ผ่านการจัด CE Forum ร่วมกับเครือข่ายส่งเสริมการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนแห่งประเทศไทย (THAI-SCP) ซึ่งมีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้าร่วมมากกว่า 2,000 คน สร้างความเข้าใจที่ตรงกันและเกิดการขับเคลื่อนทั้งในภาคการเงิน ภาคอุตสาหกรรม รวมถึงภาครัฐและภาคเอกชน จากนั้นนำข้อมูลที่ได้มาจัดทำสมุดปกขาว (White paper) กรอบนโยบายนวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน : วิสัยทัศน์ พ.ศ. 2573 (CE Vision 2030) และร่วมกับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ในการขับเคลื่อนกลุ่ม SMEs เพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวและเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งต้องการทั้งงบประมาณ เครื่องมือ และนวัตกรรม
สอวช. พบว่าโครงสร้างและปัจจัยเอื้อของระบบนิเวศในการเป็น CE ประกอบด้วย 6 ส่วน ได้แก่ 1.การพัฒนาขีดความสามารถ 2.ระบบการรับรองคุณสมบัติ/มาตรฐาน 3. โปรแกรมวิจัยและพัฒนา 4.กฎระเบียบและแรงจูงใจทางการเงิน/การคลัง 5.เครื่องมือการลงทุน และ 6.การส่งเสริมการขายและการส่งออก นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังต้องปรับตัวใน 3 วงจร ไม่ว่าจะเป็น New Business Model เปลี่ยนผ่านสู่โมเดลธุรกิจแบบใหม่ New Resource Cycle เปลี่ยนการใช้ทรัพยากรใหม่ (Virgin material) ให้น้อยที่สุด หันมาใช้วัสดุที่ผ่านการผลิตและบริโภคแล้วเข้าสู่กระบวนการผลิตใหม่ (Secondary material) หรือการสร้างวงจรวัตถุดิบรอบสองแบบใหม่ (New Feed Stock Loop) เป็นต้น โดย สมอ. ได้นำส่วนหนึ่งของแผนที่นำทางจาก CE Vision 2030 ไปเป็นแผนที่นำทางในการออกแบบมาตรฐาน CE ของประเทศและทำให้การต่อยอด GEI นี้เป็นไปตามแผนที่ออกแบบไว้
ดร.ศรวณีย์ กล่าวต่อว่า สอวช. ยังได้ทำงานร่วมกับ สสว. ในฐานะหน่วยร่วม และ ศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Move) ในการพัฒนา BCG indicator ขึ้น แบ่งออกเป็น 4 เสาหลักคือ ห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ความยั่งยืน (Sustainability) นวัตกรรม (Innovation) และการกำกับดูแล (Governance) และได้รับความร่วมมือจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) ในการขับเคลื่อน BCG Indicator รวมทั้งเป็นส่วนหนึ่งของการมอบรางวัล BCG Award โครงการอุตสาหกรรม BCG ต้นแบบ ในงาน FTI Expo 2025 ที่จัดโดย สอท. และจะร่วมกันต่อยอดตัวชี้วัดนี้กับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ต่อไป

นอกจากนี้ตัวชี้วัดนี้สนับสนุนผู้ประกอบการใช้นวัตกรรม การพัฒนาห่วงโซ่อุปทานสีเขียว (Green Supply Chain)และการพัฒนาผู้ประกอบการ/ซัพพลายเออร์ครอบคลุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมทั้งหมดที่เกิดขึ้นในห่วงโซ่คุณค่าขององค์กร นอกเหนือจากการดำเนินการโดยตรง (ปล่อยก๊าซเรือนกระจก Scope 3) ซึ่งจะช่วยประเทศไทยลดผลกระทบจากการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษีศุลกากร (non-tariff barriers: NTBs) หรือ มาตรการกีดกันทางการค้าที่เกี่ยวข้องด้านสิ่งแวดล้อม อันส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานระดับโลก (Global Supply Chain) ดังนั้นการพัฒนาระบบมาตรฐานใหม่จึงต้องมีความทันสมัยและเป็นสากลเพื่อช่วยสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน สร้างการเติบโตในระยะยาว และสร้างความยั่งยืน ทั้งในมิติของสิ่งแวดล้อมและการแข่งขันที่เทียบเท่าระดับโลก

“สอวช. เป็นเพียงหน่วยงานที่สนับสนุนให้เกิดการเดินหน้าขับเคลื่อนเรื่องนี้ แต่ผลลัพธ์จะไม่เกิดขึ้นหากขาดหน่วยงานพันธมิตรที่ทำงานร่วมกันมาอย่างยาวนาน คิดว่าเราจะต้องร่วมกันขับเคลื่อนเครือข่ายและตัวชี้วัดนี้ต่อ เพื่อเป็นทางออกให้กับผู้ประกอบการไทยในการแข่งขันต่อไปได้ รวมถึงด้านนวัตกรรมที่คาดหวังว่าผู้ประกอบการจะประยุกต์ใช้ในการดำเนินงานมากยิ่งขึ้น” ดร.ศรวณีย์ กล่าว



