เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2568 นางสาวสิรินยา ลิม ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจชีวภาพ สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) เข้าร่วมการประชุมสัมมนาออนไลน์ในหัวข้อ “Growing Impact: Grantee Success Stories Driving Food System Transformation” จัดโดย Tilt Collective องค์กรที่ส่งเสริมเรื่องความยั่งยืนของอาหาร โดยนางสาวสิรินยา ร่วมการประชุมกลุ่มย่อยและได้นำเสนอในหัวข้อ “Accelerating Thailand’s Protein Transition: Advancing Plant-Rich Diets for a Sustainable Future” ซึ่งเป็นการเผยให้เห็นแนวทางการขับเคลื่อนด้านนโยบาย รวมถึงบทบาทของหน่วยงานภาครัฐที่จะทำงานร่วมกับภาคเอกชนในการเปลี่ยนผ่านทางด้านโปรตีนของไทย

นางสาวสิรินยา กล่าวถึงสถานการณ์ในประเทศไทยว่า เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตรูปแบบใหม่ผนวกกับการเติบโตของร้านอาหารแบบเครือข่ายที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดตัวเลือกของอาหารแคลอรี่สูงเพิ่มขึ้นด้วย เช่น ร้านอาหารในรูปแบบบุฟเฟต์ ที่ส่งผลให้ค่าเฉลี่ยดัชนีมวลกาย (Body Mass Index: BMI) และอัตราการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable Diseases: NCDs) ของประชากรไทยทั่วประเทศสูงขึ้น โดยการบริโภคอาหารของมนุษย์เราในปัจจุบันนั้นนอกจากจะส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพแล้ว ยังเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจด้วย


“ประเทศไทยเป็นประเทศผู้นำในการส่งออกอาหารโดยเฉพาะโปรตีนในระดับโลก เราส่งออกเนื้อสัตว์ปีกปีละ 900,000 ตัน และเสียพื้นที่เพื่อเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์กว่า 1,000,000 เฮกตาร์ แต่จากระบบการผลิตในปัจจุบันทำให้เราประสบปัญหาหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นภาวะการขาดแคลนที่ดิน ไปจนถึงปัญหาฝุ่น PM2.5 จากการเผาไหม้ทางการเกษตร ในขณะที่รัฐบาลและภาคเอกชนไทยก็ได้ตั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) เราจึงต้องหาแนวทางลดก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่อุปทานการผลิตอาหาร ซึ่งระบบอาหารที่เน้นการทานพืช หรือ Plant-Rich Diets จะเป็นทางออกให้กับการสร้างห่วงโซ่อุปทานสีเขียวและสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับประเทศได้” นางสาวสิรินยา กล่าว
จุดแข็งของประเทศไทยในปัจจุบัน ส่วนแรกคือตลาดโปรตีนทางเลือกในประเทศที่มีมูลค่าประมาณ 1,340 ล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าจะมีการเติบโตเพิ่มขึ้น 8% ต่อปี ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ทั่วไป เช่น นมถั่วเหลือง เต้าหู้ โดยกลุ่มเครื่องดื่มจากพืช (Plant-Based Drink) มีแนวโน้มเติบโตขึ้นเช่นกัน ส่วนต่อมาคือประเทศไทยมีแหล่งโปรตีนจากพืชที่หลากหลาย สามารถนำพืชพื้นเมืองหรือพืชท้องถิ่นมาแปรรูปเป็นอาหารและใส่ในบรรจุภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์สมัยใหม่ได้ นอกจากนี้ ไทยยังเป็นผู้ผลิตเนื้อจากพืช (Plant-Based Meat) รายใหญ่ของเอเชียแปซิฟิกที่มีกำลังการผลิตกว่า 3,000 ตันต่อปี

นางสาวสิรินยา ยังได้กล่าวถึงนโยบายภายในองค์กรของ สอวช. ที่ได้รณรงค์ให้มีการบริโภคอาหาร Plant-Based ในกิจกรรมและการประชุมรูปแบบออนไซต์ขององค์กรในสัดส่วน 30% ของอาหารทั้งหมด โดยได้สื่อสารให้บุคลากรใน สอวช. เห็นถึงประโยชน์ของการทานอาหาร Plant-Based เช่น แคลอรีต่ำ ไม่มีคอเลสเตอรอล มีวิตามินและไฟเบอร์สูง และยังลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้ถึง 10 เท่า ซึ่งการรณรงค์เรื่องนี้นอกจากจะช่วยกระตุ้นการขายอาหาร Plant-Based ในไทยแล้ว ยังช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารอนาคตในประเทศอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามยังพบว่ามีความท้าทายในการขับเคลื่อนเรื่องนี้เช่นกัน อาทิ ความกังวลเกี่ยวกับอาหารแปรรูปสูง (Ultra Processed Food: UPF) รสชาติอาหาร รวมถึงตัวเลือกของร้านอาหารหรือบริการจัดเลี้ยงอาหารที่ยังมีจำกัด
สอวช. ได้วางแนวทางขับเคลื่อนนโยบายด้านระบบอาหาร แบ่งเป็น 1. การสร้างเครือข่ายเชื่อมต่อระหว่างผู้ซื้อ (Buyer) และผู้จัดหาวัตถุดิบ (Supplier) ในเฟสแรกจะต้องรวบรวมข้อมูลปัญหาอุปสรรคในการขับเคลื่อน และต้องทำงานร่วมกับพันธมิตร เช่น หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อจัดการจับคู่ทางธุรกิจ สร้างฐานข้อมูลของผู้ขายสินค้าและผู้จัดหาวัตถุดิบ เพื่อให้หน่วยงานที่ต้องการนำนโยบายนี้ไปใช้ในองค์กรมีความสะดวกสบายยิ่งขึ้นในการเข้าถึงร้านอาหารหรือผู้ขายสินค้า 2. การสร้างแพลตฟอร์มในการหารือกับ 30 หน่วยงานภาครัฐหรือเอกชน เพื่อสื่อสารข้อมูลประโยชน์ของ Plant-Rich Diets ให้ขยายวงกว้างขึ้น 3. การฝึกอบรมให้กับ Amplifiers หรือผู้ที่จะช่วยกระจายองค์ความรู้ในเรื่องนี้ไปยังคนกลุ่มอื่น โดยตั้งเป้าที่จะสร้างคอร์สระยะสั้น เพื่อฝึกอบรมให้กับกลุ่มคนเหล่านี้ เพื่อสร้าง Amplifiers เช่น เชฟที่มีชื่อเสียง นักวิจัย/อาจารย์ด้านอาหาร ผู้ประกอบการด้านสุขภาพ ที่สามารถกระจายองค์ความรู้ไปยังกลุ่มอื่น ๆ ได้ต่อไป

สอวช. ยังได้ตั้งเป้าหมายที่จะทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายมหาวิทยาลัยยั่งยืนแห่งประเทศไทย (Sustainable University Network (SUN) Thailand) ที่มีสมาชิกรวม 59 มหาวิทยาลัย เพื่อขอความร่วมมือให้มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งมีเครื่องจำหน่ายเครื่องดื่มอัตโนมัติที่มีเมนู Plant-Based Drink ทำให้สามารถขยายกลุ่มผู้บริโภคเข้าไปในกลุ่ม Gen Z ที่มีความสนใจในการลองสิ่งใหม่เพิ่มขึ้นด้วย ในด้านการท่องเที่ยวและสุขภาพ คาดว่าจะทำงานร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่จะทำแผนที่เส้นทางร้านอาหาร Plant-Rich Diets ในแต่ละพื้นที่ รวมถึงสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEP) สามารถสร้างความร่วมมือในการมีนโยบายให้งานหรือนิทรรศการที่จะจัดขึ้นมีเมนูจากพืช (Plant-Rich Diets) ให้มากขึ้นด้วย ซึ่งหากประสบความสำเร็จจะส่งเสริมให้ประเทศไทยมีภาพลักษณ์ของการเป็นศูนย์กลางการจัดงานที่ช่วยสร้างความยั่งยืนได้ นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีอุทยานแห่งชาติกว่า 156 แห่ง ที่สามารถนำ Plant-Rich Diets เข้าไปช่วยสนับสนุนเรื่องการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนได้ เช่น การขายอาหาร Plant-Rich ในร้านอาหารหรือร้านขายของรอบบริเวณอุทยานฯ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว และเสริมสร้างความรู้ในการเลือกทานอาหารอย่างยั่งยืน
“จากข้อริเริ่มต่าง ๆ เราคาดหวังว่าจะสามารถปรับเปลี่ยนระบบอาหารให้มีความหลากหลาย ดีต่อสุขภาพ และเข้าถึงทุกคนได้มากขึ้น ช่วยส่งเสริมห่วงโซ่อุปทานใหม่และตลาดอาหารแห่งอนาคตให้มีมูลค่า 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐ รวมถึงสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางและเป็น Supplier ด้านอาหารที่ยั่งยืนในระดับโลก และทำให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี ค.ศ. 2065” นางสาวสิรินยา กล่าวทิ้งท้าย