
(16 มิถุนายน 2568) สำนักงานสภานโยบาย การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ร่วมกับ โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) เปิดตัวรายงานการพัฒนามนุษย์ ประจำปี 2025 ในหัวข้อ “เทคโนโลยีของใคร? ทางเลือกของเรา : ทำอย่างไรให้ AI ทำงานเพื่อมนุษย์” ณ ห้องพญาไท 3 โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท โดยนางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้มอบหมายให้นางสาวสุชาดา ซาง แทนทรัพย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าวเปิดงาน พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษ
โดยรายงานระบุว่า ดัชนีการพัฒนามนุษย์ (HDI) ทั่วโลกอยู่ในระดับต่ำที่สุดในรอบ 35 ปี ขณะที่ความเหลื่อมล้ำระหว่างประเทศยังคงขยายตัวเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน จึงเป็นจุดสำคัญที่จะต้องสร้างแนวทางใหม่โดยเน้นบทบาทของปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นพลังขับเคลื่อนการพัฒนาที่สามารถสร้างโอกาสให้กับคนทุกคนอย่างเท่าเทียมและไม่เป็นเหตุในการสร้างให้เกิดความเหลื่อมล้ำที่สูงขึ้นในอนาคต สำหรับประเทศไทย รายงานระบุว่า อยู่อันดับที่ 76 จาก 193 ประเทศ และเป็นอันดับ 4 ในประเทศอาเซียน รองจากสิงคโปร์ บรูไน และมาเลเซีย โดยชี้ว่าไทยมีจุดแข็งด้านความเท่าเทียมทางเพศ และเป็นผู้นำในอาเซียนด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่คำนึงถึงการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ในรายงานยังระบุว่า AI กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับผลิตภาพ เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน และขยายโอกาสในภาคส่วนต่าง ๆ เช่น สุขภาพ การศึกษา และสิ่งแวดล้อม โดย 3 เสาหลักที่ UNDP ไทยผลักดัน ได้แก่ 1. AI เพื่อเพิ่มผลิตภาพและความสามารถในการแข่งขัน 2. AI เพื่อความทั่วถึง โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และ 3. AI เพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่นในระบบเศรษฐกิจและสังคม

นางสาวสุชาดา กล่าวถึง “ระบบการศึกษาในยุค AI ของไทย” ว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายหลายด้านในการเข้าสู่ AI โดยเฉพาะปัญหาการขาดแคลนบุคลากรท้องถิ่นที่มีทักษะด้าน AI การพัฒนากฎระเบียบที่ล่าช้า ต้นทุนในการนำ AI ขนาดใหญ่มาใช้ที่ยังไม่คุ้มค่า รวมถึงบริบททางภูมิรัฐศาสตร์ที่การครองเทคโนโลยีเป็นของสหรัฐอเมริกาและจีน ขณะเดียวกันยังมีความกังวลเรื่องการสูญเสียงานจากระบบอัตโนมัติ โดยข้อมูลระบุว่าในช่วงปี 2025–2030 กลุ่มอาชีพที่เติบโตเร็วที่สุด ได้แก่ นักวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ วิศวกร AI และวิศวกรการเรียนรู้ของเครื่องจักร นักพัฒนาซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชัน นักวิเคราะห์ความปลอดภัยทางไซเบอร์ และวิศวกรด้านพลังงานหมุนเวียน ส่วนอาชีพที่มีแนวโน้มลดลงอย่างรวดเร็ว ได้แก่ พนักงานธนาคาร พนักงานบัญชี คอลเซ็นเตอร์ แคชเชียร์ และพนักงานบริการหน้าร้าน

สำหรับบทบาทของการอุดมศึกษาไทยในยุค AI นั้น นางสาวสุชาดา กล่าวว่า กระทรวง อว. ขับเคลื่อนผ่านกรอบความร่วมมือ 3 ฝ่าย ได้แก่ 1. ภาครัฐในฐานะผู้สนับสนุนเชิงนโยบาย 2. ภาคธุรกิจในฐานะผู้กำหนดความต้องการกำลังคน และ 3. สถาบันอุดมศึกษาในฐานะผู้พัฒนาเนื้อหาหลักสูตรให้สอดคล้องกับตลาดแรงงาน โดยโครงการสำคัญที่ได้รับการผลักดัน ได้แก่ โครงการ Higher Education Sandbox มีตัวอย่างการพัฒนาหลักสูตรวิศวกรรมคอมพิวเตอร์และดิจิทัลเทคโนโลยี ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยออกแบบระบบ Block Course และฝึกงานแทนการเรียนบางวิชา ช่วยให้เรียนจบได้เร็วขึ้น ซึ่งสามารถผลิตกำลังแรงงานที่ตรงความต้องการของภาคเอกชน โดยนักศึกษาปี 1 จากหลักสูตรดังกล่าว 33% ได้รับการประเมินว่าสามารถทำงานได้ดีกว่านักศึกษาปี 3 จากหลักสูตรปกติ โครงการ National Credit Bank ระบบสะสมหน่วยกิตจากการเรียนรู้ทั้งในระบบ นอกระบบ และจากประสบการณ์ตรง ซึ่งสอดรับกับแนวคิดที่ต้องการสร้างโอกาสในการเรียนรู้ให้กับประชาชนทุกกลุ่ม รองรับการเรียนรู้ตลอดชีวิตและรับรองสมรรถนะจากการเรียนรู้นอกห้องเรียน โครงการ GenNX Model โมเดล เป็นการฝึกอบรมเข้มข้นเพื่อเข้าสู่การจ้างงาน โดยเชื่อมคนว่างงานเข้ากับบริษัทที่ต้องการแรงงานคุณภาพ ช่วยแก้ปัญหาการว่างงานเชิงโครงสร้าง
นอกจากนี้ ยังได้จับมือกับบริษัท Microsoft พัฒนาโครงการ “AI for All” เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจด้าน AI ให้แก่คนไทยทุกช่วงวัย ผ่านการจัดทำหลักสูตร การอบรมครู แพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ และพัฒนาทักษะแรงงาน เพื่อเตรียมความพร้อมของประเทศเข้าสู่โลกแห่งเอไออย่างเท่าเทียมและยั่งยืน

ด้าน ดร.สุรชัย สถิตคุณารัตน์ ผู้อำนวยการ สอวช. กล่าวว่า การขับเคลื่อนประเทศท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน ทั้งเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์ และวิกฤตสิ่งแวดล้อม นวัตกรรมเชิงนโยบายจึงเป็นกุญแจสำคัญสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ยั่งยืน โดย สอวช. ได้เร่งพัฒนากลไกและเครื่องมือนโยบายใหม่ ๆ ตั้งแต่ต้นทางของการออกแบบนโยบายจนถึงการประเมินผล เช่น Design Thinking, Strategic Foresight, Regulatory Sandbox, Policy Accelerator และการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อให้ระบบนโยบายตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงได้อย่างคล่องตัว

อีกบทบาทสำคัญคือการผลักดันนวัตกรรมเพื่อพัฒนาประเทศ โดย กระทรวง อว. ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จัดทำยุทธศาสตร์ AI แห่งชาติ (Thailand National AI Strategy 2022–2027) โดยยึด 5 แกนหลัก ได้แก่ 1. การเตรียมความพร้อมด้านจริยธรรม กฎหมาย และกฎระเบียบ 2. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเอไออย่างยั่งยืน 3. การพัฒนาทุนมนุษย์และการศึกษาด้าน AI 4. การส่งเสริมนวัตกรรมและเทคโนโลยี AI 5. การผลักดันการประยุกต์ใช้เอไอในทุกภาคส่วน
ดร.สุรชัย ยังได้กล่าวย้ำว่า ความสำเร็จของยุทธศาสตร์ AI ต้องเกิดจากความร่วมมือแบบบูรณาการ ระหว่างหน่วยงานรัฐทุกระดับ การแบ่งปันข้อมูลอย่างปลอดภัย การประสานทรัพยากรและองค์ความรู้เพื่อสร้างบริการสาธารณะอัจฉริยะที่เข้าถึงคนไทยทุกคนอย่างเท่าเทียม เพื่อให้ AI กลายเป็นพลังแห่งการเติบโตอย่างทั่วถึงและเป็นธรรมของประเทศไทยในอนาคต

ขณะที่ ศ.ดร.สุรินทร์ คำฝอย รองผู้อำนวย สอวช. ร่วมการเสวนา “ทางเลือกของประเทศไทย: ใช้ AI ขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่มนุษย์เป็นศูนย์กลาง” โดยกล่าวว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาใหญ่ด้านการศึกษา ทั้งจากจำนวนประชากรวัยเรียนที่ลดลง ตลอดจนอัตราการศึกษาต่อในระดับมัธยมและอุดมศึกษาที่ลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยจุดอ่อนหลักคือ จำนวนปีเฉลี่ยของการศึกษาในประเทศไทยยังคงอยู่ที่เพียง 9 ปี ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศที่มี HDI ในระดับสูงมาก ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนที่ต้องเร่งแก้ไข

ศ.ดร.สุรินทร์ กล่าวว่า เพื่อรับมือกับความท้าทายนี้ สอวช. ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งสำนักงานปลัดกระทรวง อว. และ ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) เร่งขับเคลื่อนการนำเทคโนโลยี AI มาช่วยนักศึกษาในทุก ๆ ช่วงของการอุดมศึกษา ตั้งแต่ 1. การสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย พัฒนาระบบ MyTCAS ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มดิจิทัล ที่ใช้ AI จับคู่นักเรียนกับสาขาวิชาที่เหมาะสมตามความถนัด ตั้งแต่ขั้นตอนสมัครจนถึงการยืนยันสิทธิ์เข้าศึกษา 2. ตรวจสอบรับรองหลักสูตรด้วย AI ผ่านระบบ CISA ช่วยลดระยะเวลาอนุมัติจาก 120 วันเหลือเพียง 30 วัน ส่งผลให้หน่วยงานสามารถปล่อยกู้เพื่อการศึกษาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และ 3. การแนะแนวอาชีพแบบเฉพาะบุคคลทั้งในระหว่างการศึกษาและหลังจบการศึกษา โดยใช้แบบทดสอบวิเคราะห์ความถนัด และเชื่อมโยงกับทักษะที่ตลาดแรงงานต้องการ (Skill Mapping) เพื่อสร้างเส้นทางอาชีพที่ชัดเจนและแม่นยำ ตลอดจนสนับสนุนการออกแบบหลักสูตรใหม่ให้สอดรับกับตลาดงาน
รองผู้อำนวยการ สอวช. กล่าวเพิ่มเติมว่า สอวช. ยังได้ร่วมพัฒนาเชิงนโยบายโดยใช้ AI เพื่อจัดกลุ่มหลักสูตร เช่น STEM และ Non-STEM ในการให้ทุนการศึกษา รวมทั้งประเมินและแนะนำหลักสูตรคุณภาพเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต พร้อมทั้งพัฒนาระบบจับคู่ทักษะที่เชื่อมโยงช่องว่างด้านทักษะกับความต้องการของนายจ้างแบบเรียลไทม์ผ่านแพลตฟอร์ม STEMPlus
“เป้าหมายของเราคือ การใช้ AI เพื่อยกระดับประสิทธิภาพทางการศึกษา โดยไม่ละทิ้งความเป็นมนุษย์ ต้องยึดหลักมนุษยธรรม ให้เทคโนโลยีเข้ามาเสริมศักยภาพ ไม่ใช่แทนที่คน และเปิดโอกาสให้เยาวชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ได้เข้าถึงการศึกษาในระดับสูง พร้อมปรับรูปแบบการเรียนรู้ให้ยืดหยุ่นและสอดคล้องกับอาชีพในอนาคต” ศ.ดร.สุรินทร์ กล่าว

