สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ร่วมกับภาคีเครือข่าย เดินหน้าขับเคลื่อนบัญชีรายการกล่าวอ้างหน้าที่อื่นของอาหารและส่วนประกอบของอาหาร (Positive Lists for Other Function Claim) โดยเฉพาะสารประกอบเชิงฟังก์ชันจากวัตถุดิบไทย เพื่อยกระดับความสามารถของผู้ประกอบการไทยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารสุขภาพ ให้ได้คุณภาพ มาตรฐาน และเข้าสู่ตลาดได้รวดเร็วขึ้น โดยมีเป้าหมายผลักดันอย่างน้อย 150 รายการ ภายในปี 2570 พร้อมลดระยะเวลาขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์จาก 2 ปี เหลือเพียง 2 เดือน ลดต้นทุนการขึ้นทะเบียนได้ถึงร้อยละ 70 และเพิ่มโอกาสทางการตลาดได้อย่างมีนัยสำคัญ

เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 ศ. (วิจัย) ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ประธานคณะทำงานฯ และผู้ทรงคุณวุฒิด้านเกษตรและอาหารของประเทศ อาทิ เภสัชกรเลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา นายสัตวแพทย์ยุคล ลิ้มแหลมทอง และ รศ.ดร.สิรี ชัยเสรี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิคณะกรรมการอาหารแห่งชาติ ได้จัดประชุม “คณะทำงานจัดทำแนวทางและกลไกเพื่อสนับสนุนการจัดทำบัญชีรายการสารสำคัญการกล่าวอ้างหน้าที่อื่นของอาหารและส่วนประกอบของอาหาร (Positive Lists for Other Function Claims)” ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานเครือข่าย ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) (สวก.) สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยที่ประชุมได้ร่วมกันหารือเชิงลึกถึงแนวทางผลักดันสารประกอบจากวัตถุดิบไทยให้สามารถขึ้นทะเบียนเป็น Positive lists ในผลิตภัณฑ์อาหารสุขภาพได้จริง ตัวอย่างสารสำคัญที่อยู่ระหว่างผลักดัน เช่น “ขมิ้นชัน” ซึ่งแม้มีข้อมูลวิจัยมาก แต่ความเข้มข้นของสารสำคัญ (Functional ingredient) เกินเกณฑ์อาหารและยังไม่มีการใช้ในผลิตภัณฑ์อาหาร อีกทั้งยังไม่สามารถขึ้นทะเบียนในรูปแบบนาโนเทคโนโลยีได้เนื่องจากไม่ตรงตามเกณฑ์ของผลิตภัณฑ์อาหารทั่วไป จึงมีข้อเสนอให้ยื่นในรูปแบบสารสกัดพื้นฐานที่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ที่มีอยู่ในปัจจุบันก่อน

ทั้งนี้ บพข. และ สวก. ได้รายงานความก้าวหน้าในการสนับสนุนทุนวิจัยเพื่อจัดทำเอกสารวิชาการของ Positive list ได้แก่ การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ (systematic review), การทดลองวิจัยทางคลินิก (clinical trial), การพัฒนาสารมาตรฐาน (reference material) และการยกระดับห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ทดสอบ (NQI) โดยคาดว่าภายในปี 2568-2569 จะสามารถผลักดันให้เกิด Positive Lists อย่างน้อย 46 รายการ โดยเน้นสารจากวัตถุดิบไทยที่มีศักยภาพ เช่น หม่อน ขิง ข้าว เห็ด ส้มแขก กระเพรา และกระเจี๊ยบแดง เป็นต้น เพื่อทดแทนการนำเข้าสารประกอบฟังก์ชันจากต่างประเทศ พร้อมจัดลำดับสารที่มีความพร้อมสูงและตลาดต้องการเป็น Priority สำหรับการลงทุนวิจัยเพิ่มเติม
อีกหนึ่งประเด็นที่ได้หารือ คือ การขับเคลื่อน “โพรไบโอติกและพรีไบโอติก” ซึ่งมีแนวโน้มความต้องการสูงทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะจุลินทรีย์สายพันธุ์ไทยที่มีศักยภาพทางสุขภาพ ซึ่งสอดคล้องกับการวิจัยเชิงนโยบายเรื่องเศรษฐกิจจุลินทรีย์ของ สอวช. ที่อยู่ระหว่างการศึกษา ทั้งนี้เพื่อเสริมสร้างระบบนิเวศวิจัย และการขึ้นทะเบียนที่เชื่อมโยงทั้งต้นน้ำถึงปลายน้ำ พร้อมการสนับสนุนให้มหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยไทยร่วมขับเคลื่อนงานด้านนี้มากขึ้น หลังพบว่าหลายสายพันธุ์มีโอกาสถูกต่างชาตินำไปใช้ก่อน ขณะเดียวกันที่ประชุมยังเน้นความสำคัญของการพัฒนาต้นน้ำของห่วงโซ่คุณค่าวัตถุดิบเกษตร เช่น การปรับปรุงพันธุ์พืช การควบคุมกระบวนการปลูกและการเก็บเกี่ยว เพื่อให้ได้สารสำคัญ (Functional ingredient) สูง การเพิ่มมูลค่าผลผลิตเกษตรสดผ่านกลไก FFC Thailand รวมถึงสนับสนุนให้หน่วยงานกำหนดมาตรฐานสินค้าตามสายพันธุ์และแหล่งผลิต พร้อมเชื่อมต่อการรับรองฟาร์มของกรมส่งเสริมการเกษตรสู่กระบวนการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์อย่างครบวงจร ตลอดจนการจัดอบรมและให้ความรู้แก่นักวิจัยเพื่อจัดทำเอกสารรายงานวิชาการสารสำคัญ (Dossier) เพื่อเพิ่มความเข้าใจในกระบวนการขึ้นทะเบียนบัญชี Positive lists อย่างมีประสิทธิภาพ
สอวช. ในฐานะหน่วยงานนโยบายด้านอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.) เห็นถึงความสำคัญการจัดทำแนวทางและกลไกวิชาการเพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อน Positive Lists ที่ต้องขับเคลื่อนตั้งแต่ในระดับนโยบาย ประสานความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทั้งภายในและภายนอกกระทรวง อว. และภาคเอกชนเพื่อบูรณาการการทำงาน การทำงานครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่ช่วยอำนวยความสะดวกด้านกฎหมายกฎระเบียบสำหรับผู้ประกอบการไทยและยังเป็นกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงองค์ความรู้จากงานวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ได้จริง สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่จากวัตถุดิบไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารสุขภาพที่มีงานวิจัยรองรับสอดคล้องกับข้อกำหนดของ อย. ซึ่งจะส่งผลดีต่อการขยายตลาดและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของอุตสาหกรรมอาหารอนาคตของไทยในระยะยาว