messenger icon
×
หน้าหลัก » ข่าวประชาสัมพันธ์ » กระทรวง อว. โดย สอวช. ร่วมกับ นิด้า จัดเสวนายกระดับ Pride Thailand สู่เวทีโลกพร้อมใช้วิจัยขับเคลื่อนเทศกาลไทยสู่สากล

กระทรวง อว. โดย สอวช. ร่วมกับ นิด้า จัดเสวนายกระดับ Pride Thailand สู่เวทีโลกพร้อมใช้วิจัยขับเคลื่อนเทศกาลไทยสู่สากล

วันที่เผยแพร่ 31 พฤษภาคม 2025 61 Views

(29 พฤษภาคม 2568) สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ร่วมกับ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดตัวโครงการยกระดับเทศกาล “Pride Thailand สู่เวทีโลก: การผลักดันต้นแบบความโอบรับของเทศกาลไทยสู่สากล” โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อใช้พลังจากงานวิจัยขับเคลื่อนเทศกาลไทยสู่การยอมรับระดับสากล ห้องจามจุรี 1 ชั้น M โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส กรุงเทพมหานคร

ดร.สุรชัย สถิตคุณารัตน์ ผู้อำนวยการ สอวช. ได้กล่าวถึงแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่ปัจจุบันได้กลายเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์หลักของรัฐบาล โดยเฉพาะมิติที่เชื่อมโยงกับงานเทศกาล ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงกิจกรรมเพื่อการอนุรักษ์วัฒนธรรม แต่ยังมีศักยภาพสูงในการช่วยพัฒนาเศรษฐกิจตั้งแต่ระดับท้องถิ่นไปจนถึงระดับประเทศ เทศกาลที่ดี
จึงต้องตอบโจทย์เศรษฐกิจร่วมสมัย ต้องมีการออกแบบเชิงระบบ และคำนึงถึงการใช้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ควบคู่ไปกับด้านสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ ศิลปศาสตร์ รวมถึงใช้การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.) เข้าไปช่วยสนับสนุนให้เกิดงานเทศกาลที่ตอบโจทย์ผู้เข้าร่วมงาน และใช้ข้อมูลจากงานวิจัย
มาจัดทำนโยบาย กลไกต่าง ๆ เพื่อพัฒนาให้เทศกาลไทยไปสู่สากลได้

ดร.สุรชัย กล่าวต่อว่า สอวช. เห็นโอกาสในการใช้ศักยภาพการออกแบบและพัฒนางานเทศกาลในเชิงนโยบายจึงได้จับมือกับ นิด้า เพื่อออกแบบกลไกเชิงนวัตกรรม และศึกษาความเป็นไปได้ในการยกระดับเทศกาลไปสู่ระดับนานาชาติ และหนึ่งในต้นแบบสำคัญคือ Pride Festival ที่ไม่ใช่เพียงงานเฉลิมฉลองความหลากหลาย แต่คือเทศกาลร่วมสมัยที่เชื่อมโยงระหว่าง Soft Power อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ กฎหมายสมรสเท่าเทียม และนโยบายของรัฐที่สะท้อนภาพลักษณ์ของไทยในฐานะประเทศที่เปิดกว้าง ยึดมั่นในหลักสิทธิมนุษยชน และพร้อมโอบรับวัฒนธรรมโลก

ผศ.ดร.โชคชัย สุเวชวัฒนกูล อาจารย์ประจำคณะการจัดการการท่องเที่ยว นิด้า ได้ร่วมบรรยายพิเศษในหัวข้อ “จิตวิญญาณแห่งงานเทศกาล การส่งมอบคุณค่าความโอบรับสู่สากล” โดยกล่าวว่า งานเทศกาลเป็นเครื่องมือของการส่งต่อคุณค่าร่วมของสังคมผ่านจิตวิญญาณแห่งงานเทศกาล ที่ทั้งโอบรับ หยั่งราก และเชื่อมต่อกับอนาคต เราเชื่อว่าเทศกาลสร้างสรรค์สามารถหล่อหลอมเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และความเท่าเทียม ให้กลายเป็นพลังสำคัญของสังคมไทยในการยืนอยู่บนเวทีโลกอย่างสง่างาม โดยการค้นพบจิตวิญญาณแห่งงานเทศกาลเป็นผลพวงจากการกำหนดกรอบการวิจัย “โครงการศึกษาเชิงนโยบายและพัฒนากลไก อววน. เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวประเภทงานเทศกาลท้องถิ่นสู่ระดับสากล” จากการศึกษางานวิจัยจำนวน 46 งานวิจัย พบว่าสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือจิตวิญญาณของงานเทศกาลที่สามารถส่งต่อเรื่องราว คุณค่า และความหมาย ไปยังสังคมได้อย่างลึกซึ้งสามารถต่อยอดให้เป็นพลังเชิงสร้างสรรค์ได้ในระดับโลก

ในโอกาสนี้ ยังได้มีการจัดเวทีเสวนาเพื่อเปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนองค์ความรู้และมุมมองเกี่ยวกับบทบาทของเทศกาล
ในการส่งเสริมภาพลักษณ์และอัตลักษณ์ของสังคมไทยในเวทีสากล ภายในงานยังได้มีการเสวนาในหัวข้อ “สื่อสารความโอบรับของคนไทย ผ่านการยกระดับงานเทศกาลสู่สากล” โดย นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า เทศกาลคือเครื่องมือสะท้อนอัตลักษณ์ท้องถิ่น จุดประกายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในเมือง และเป็นเวทีสำคัญในการดึงอัตลักษณ์ของผู้คนและชุมชนในเมืองให้โลกรู้ว่า เรามีอะไรดี โดยกรุงเทพมหานครมีแนวคิดสนับสนุนงานเทศกาลผ่านนโยบาย “12 เดือน 12 เทศกาล” ซึ่งงาน Pride Festival ถือเป็นหนึ่งในเทศกาลสำคัญที่สะท้อนถึงแนวคิดความเท่าเทียม ความหลากหลาย และเปิดกว้าง

รอง ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวเพิ่มเติมว่า เทศกาลต่าง ๆ คือยอดของภูเขาน้ำแข็งซึ่งเบื้องล่างยังมีโครงสร้างรองรับขนาดใหญ่ คือ อุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่สามารถเติบโตและเชื่อมโยงได้ หากได้รับการสนับสนุนที่เหมาะสม เทศกาลต้องไม่ใช่เพียงการจัดงานเพื่อตอบรับกระแส แต่ควรมีความต่อเนื่องในเชิงนโยบาย ทั้งในระดับเมืองและระดับองค์กร เช่น การพัฒนาแนวทาง Pride Badge ซึ่งต้องเชื่อมโยงกับนโยบายของบริษัทหรือภาคเอกชนในการยอมรับความหลากหลาย ขณะเดียวกันแต่ละองค์กรจะต้องมีกรอบแนวคิด DEI – Diversity, Equity, and Inclusion ซึ่งไม่ใช่เพียงแนวคิดทางสังคม แต่เป็นโครงสร้างที่ช่วยสร้างเศรษฐกิจใหม่ในเมืองที่เปิดรับความแตกต่าง และใช้ Soft Power อย่างยั่งยืน

ด้านนายเกรียงไกร กาญจนะโภคิน ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ (มหาชน) และ อนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านเฟสติวัล เล่าถึงประสบการณ์ในฐานะตัวแทนประเทศไทยที่ได้ทำงานในเวทีระดับนานาชาติ สิ่งที่ค้นพบคือประเทศไทยเป็นสังคมเปิด ที่มีอิสระและเสรีภาพสูงมาก เรามีทรัพยากรทางวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์ ซึ่งสามารถต่อยอดได้อย่างมหาศาล ประเทศไทยจึงควรยกระดับเทศกาลให้มีความร่วมสมัย พร้อมผลักดันให้เทศกาลไทยไปไกลถึงต่างประเทศ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสร้างความแตกต่างจากงานเดิม ๆ และสร้างผลทางเศรษฐกิจที่จับต้องได้ นอกจากนี้ ประเทศไทยควรวางตำแหน่งให้ชัดในระดับนโยบายว่า เราคือประเทศแห่งเทศกาล “ We are Country of Festivals” พร้อมเดินหน้าพัฒนาเทศกาลให้เป็น World-Class Festival

นายภัทร เลิศสุกิตติพงศา ผู้ก่อตั้ง Drag Bangkok Festival และอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านศิลปะการแสดง กล่าวว่า Pride  Festival ไม่ใช่แค่การจัดงาน แต่คือการวางแผนร่วมกับชุมชนจากรากฐานของการเรียกร้องสิทธิ เพื่อสร้างระบบนิเวศทางวัฒนธรรมใหม่ให้กับเมือง ซึ่งการจัดงานในเดือนมิถุนายนก็เพื่อเชื่อมโยงกับวันสำคัญระดับนานาชาติ โดยในปัจจุบันพลังของเทศกาลได้แปรเปลี่ยนเป็นเวทีของการเฉลิมฉลองความก้าวหน้า เช่น ในปีนี้ที่ประเทศไทยผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียมได้สำเร็จ สำหรับสิ่งที่ต้องการจากการทำวิจัยคือ การเข้าใจมวลชน และเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ เพื่อประเมินทิศทางของเทศกาลในแต่ละปี เช่น ปีนี้อาจเน้นเรื่องการสมรสเท่าเทียม ปีถัดไปอาจเกี่ยวข้องกับสิทธิในการสร้างครอบครัวหรือบทบาทของธุรกิจแฟชั่น ความงาม และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ถ้ามีข้อมูลที่แม่นยำเกี่ยวกับมวลชน เทศกาลจะไม่ใช่แค่กิจกรรม แต่จะกลายเป็นนโยบายวัฒนธรรมที่ขับเคลื่อนได้จริง นอกจากนี้ การวางแผนจัดงานในแต่ละจังหวัดอย่างต่อเนื่องทั่วประเทศ คืออีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ช่วยให้ Pride ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงพื้นที่เมืองหลวงแต่กระจายพลังความเข้าใจและการยอมรับไปสู่สังคมวงกว้าง

รศ.วงกต วงศ์อภัย รองผู้อำนวยการ สอวช. ให้ความเห็นว่าเทศกาลคือพื้นที่ที่มนุษย์สร้างเพื่อเรียนรู้การอยู่ร่วมกันเทศกาล สงกรานต์ ลอยกระทง หรือแม้แต่พิธีพราหมณ์ ล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น เพื่อให้คนแปลกหน้าได้รู้จักกัน เกิดการเชื่อมโยงกันทางสังคม เหมือนกับเทศกาล Pride Month ที่ไม่ใช่แค่เฉลิมฉลอง แต่คือการเปิดพื้นที่ให้มนุษย์ได้แสดงตัวตนในช่วงเวลาที่เหมาะสมและปลอดภัย ซึ่งในมุมของ สอวช. ซึ่งมีหน้าที่ขับเคลื่อนนโยบายด้วยวิชาการ ควรให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัย และความสบายใจทางจิตใจ โดยต้องสร้างกระบวนการฟังเสียงจากนักวิจัย เพื่อเชื่อมต่อกับความต้องการของสังคมอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันจีดีพีของประเทศกำลังประสบปัญหา เนื่องจากอุตสาหกรรมหลักพัฒนาไม่ทัน แต่ภาควัฒนธรรมและบริการขับเคลื่อนได้เร็วกว่า รวมถึงการพัฒนาเศรษฐกิจวัฒนธรรมใช้เวลาและทรัพยากรน้อยกว่าการพัฒนาอุตสาหกรรมหนัก ดังนั้นหากรัฐต้องการฟื้นเศรษฐกิจหลังวิกฤต ควรให้ความสำคัญกับภาคบริการและวัฒนธรรมที่สามารถแทรกเข้าไปได้ในทุกสังคม

ในช่วงท้าย ผศ.ดร.โกสินทร์ ปัญญาอธิสิน อาจารย์ประจำคณะภาษาและการสื่อสาร นิด้า ในฐานะหัวหน้าโครงการฯ ได้กล่าวถึงแนวทางการดำเนินงานในโครงการว่า เราจะทำการศึกษาความต้องการในการพัฒนาเทศกาลขนาดใหญ่ ให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักในระดับสากล นอกจากนี้ ยังได้สำรวจความต้องการจำเป็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ศึกษาตัวอย่างความสำเร็จจากต่างประเทศ สร้างข้อเสนอเชิงกลไกเพื่อพัฒนาและจัดเทศกาลขนาดใหญ่ในประเทศไทย โดยมีกรอบดำเนินการ ประกอบด้วย 5 แกนหลัก ได้แก่องค์ความรู้ของ อววน. การรับฟังผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การอนุรักษ์วัฒนธรรม ธุรกิจเพื่อสังคม และการพัฒนาเชิงพื้นที่ เพื่อให้ได้ข้อเสนอเชิงกลไก ยกระดับเทศกาลให้เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนประเทศไทยในเวทีโลกอย่างยั่งยืน

เรื่องล่าสุด