สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) สมาคมเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานไทย (TESTA) และ สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงไทย (ECAT) ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดงานศึกษาดูงานเชิงวิชาการในกลุ่มอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ภายใต้ชื่อโครงการ “การสร้างห่วงโซ่มูลค่าอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ไทย – นานาชาติ” ระหว่างวันที่ 13 – 19 พฤษภาคม 2568 ณ เมืองเซินเจิ้น และเมืองกวางโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อศึกษาดูงานเชิงวิชาการในงานแสดงเทคโนโลยีแบตเตอรี่นานาชาติ 17th China International Battery Fair (CIBF 2025) เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมจับคู่ทางธุรกิจ (Business Matching) เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) และเพื่อศึกษาดูงานโรงงานผลิตแบตเตอรี่ประเภทต่างๆ ทั้งในระดับ แบตเตอรี่เซลล์และแบตเตอรี่แพ็ค ที่สามารถประยุกต์ใช้กับนวัตกรรมที่หลากหลาย โดยมีเป้าหมายในการส่งเสริมความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา พร้อมวางรากฐานการพัฒนาอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ของไทยให้สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก ภายใต้โครงการมีผู้เข้าร่วมโครงการ จำนวน 36 หน่วยงาน ประกอบด้วยหน่วยงานภาคเอกชน จำนวน 21 หน่วยงาน หน่วยงานภาครัฐ จำนวน 10 หน่วยงาน และหน่วยงานภาคการศึกษา จำนวน 3 หน่วยงาน รวมจำนวนผู้เข้าร่วมทั้งสิ้น 54 คน



สืบเนื่องจากสถานการณ์ในปัจจุบันที่ความต้องการแบตเตอรี่ทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานไฟฟ้า (Electrification) จากการวิเคราะห์ของ Roland Berger ในปี 2567 พบว่าความต้องการแบตเตอรี่ทั่วโลกอยู่ที่ 1,620 GWh/ปี และจะเพิ่มขึ้นเป็น 4,917 GWh/ปี ภายในปี 2573 หรือเติบโตมากกว่า 3 เท่า ซึ่งคิดเป็นมูลค่าตลาดรวมในระดับหลายสิบล้านล้านบาท ทั้งในภาคยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และอุตสาหกรรมอื่น ๆ (Non-EV)
ในส่วนของประเทศไทย รัฐบาลได้กำหนดเป้าหมายตามนโยบาย EV 30@30 ให้มีสัดส่วนการผลิตยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (ZEV) อย่างน้อยร้อยละ 30 ภายในปี 2573 ซึ่งจะส่งผลให้ความต้องการแบตเตอรี่ในประเทศเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก โดยคาดการณ์ว่าความต้องการแบตเตอรี่ในประเทศไทยจะอยู่ที่ 43.5 GWh/ปี หรือราว 435,000 ล้านบาท/ปี หรือคิดเป็นประมาณร้อยละ 2.4 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีโรงงานผลิตแบตเตอรี่ที่มีกำลังการผลิตใกล้เคียงกับความต้องการดังกล่าว และยังขาดความชัดเจนในด้านยุทธศาสตร์ มาตรการสนับสนุน และระบบนิเวศด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและบุคลากร
การจัดโครงการศึกษาดูงานในครั้งนี้ จึงเป็นกลไกสำคัญในการรวบรวมข้อมูล เทียบเคียงนโยบาย และสร้างความร่วมมือกับประเทศคู่ค้าและผู้นำในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นต้น เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยสามารถกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ในทุกมิติ ทั้งในด้านยานยนต์ไฟฟ้า ด้านระบบกักเก็บพลังงาน และด้านการใช้งานในภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ โดยครอบคลุมทั้งด้านมาตรการเร่งด่วน มาตรการระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ตลอดจนการพัฒนากำลังคน เทคโนโลยี และการกำกับดูแล เพื่อให้ประเทศไทยสามารถปรับตัวต่อกระแสเทคโนโลยีโลก และการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคตได้อย่างยั่งยืน
(14 พฤษภาคม 2568) คณะฯ เริ่มต้นกิจกรรมด้วยการเข้าร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่าง สอวช. และ สมาคมอุตสาหกรรมแหล่งพลังงานแห่งประเทศจีน (China Industrial Association of Power Sources: CIAPS) ซึ่งเป็นสมาคมวิชาชีพด้านอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศจีนโดยมี รศ.วงกต วงศ์อภัย รองผู้อำนวยการ สอวช. เป็นผู้แทนลงนาม พร้อมด้วย Mr.Wang Zeshen Secretary General ของ CIAPS และผู้แทนจากสถานเอกอัครราชทูตฟินแลนด์และฮังการีประจำประเทศจีนร่วมเป็นสักขีพยาน

บันทึกข้อตกลงฉบับนี้มีแนวทางเพื่อสร้างกระบวนการแลกเปลี่ยนนโยบายและเทคโนโลยีกับผู้เชี่ยวชาญ ผู้ประกอบการ และภาควิชาการด้านแบตเตอรี่ของประเทศจีนผ่านเครือข่ายของ CIAPS รวมถึงการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างบุคลากร และการประชุมเชิงปฏิบัติการร่วมกัน เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยสามารถพัฒนากลยุทธ์แบตเตอรี่ นโยบายสนับสนุน และยุทธศาสตร์ห่วงโซ่อุตสาหกรรมที่เอื้อต่อการลงทุน วิจัย และพัฒนากำลังคนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และพลังงานสะอาด อีกทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและจีนในปีนี้ พร้อมกันนี้ ดร.ธนาคาร วงษ์ดีไทย นักยุทธศาสตร์ สอวช. ยังได้ร่วมนำเสนอบทบาทและหน้าที่ของ สอวช. ในภาพรวมต่อผู้เข้าร่วมจากนานาประเทศ ภายหลังพิธีลงนาม คณะฯ ได้เดินทางไปยัง สำนักงานใหญ่และโรงงานผลิตแบตเตอรี่ของบริษัท BYD เพื่อศึกษากระบวนการผลิตและการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ลิเธียมแบบครบวงจร โดยบริษัท BYD ถือเป็นหนึ่งในผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่รายใหญ่ที่สุดของโลก ทั้งยังเป็นผู้บุกเบิกระบบแบตเตอรี่สำหรับภาคขนส่งและพลังงานสะอาดในระดับนานาชาติ โดยบริษัทก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1995 และพัฒนาเติบโตอย่างรวดเร็วในฐานะผู้นำอุตสาหกรรม


บริษัท BYD มีความโดดเด่นในด้านการวิจัยและพัฒนา โดยได้จัดตั้งศูนย์ R&D ขนาดใหญ่ที่มีนักวิจัย วิศวกร และผู้เชี่ยวชาญกว่า 90,000 คน จากทั่วโลก โดยเน้นด้านวัสดุ การออกแบบระบบไฟฟ้าเคมี การจัดการพลังงาน รวมถึงโครงสร้างและซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องกับแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าและระบบกักเก็บพลังงาน นอกจากนี้ ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา BYD ได้จดทะเบียนสิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์พลังงานไฟฟ้าแล้วมากกว่า 13,000 ฉบับ ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถด้านนวัตกรรมและความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ของโลกอย่างแท้จริง
ภายในศูนย์แสดงต้นแบบ คณะฯ ได้รับฟังบรรยายจากผู้แทนของ BYD เกี่ยวกับกลยุทธ์ของบริษัทในการพัฒนาแบตเตอรี่เพื่อรองรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าแห่งอนาคต รวมถึงการวิจัยด้านแบตเตอรี่ Blade ซึ่งเน้นความปลอดภัยระดับสูง และมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน โดยแบตเตอรี่รุ่นนี้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล และได้รับการยอมรับและถูกเลือกใช้โดยบริษัทผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่หลายรายทั่วโลก
ในช่วงค่ำ คณะฯ ได้เข้าร่วมกิจกรรม Workshop ครั้งที่ 1 ซึ่งจัดขึ้นเพื่อแนะนำตัวหรือผู้แทนของแทนแต่ละหน่วยงาน และแลกเปลี่ยนวัตถุประสงค์และเป้าหมายของการเข้าร่วมโครงการในครั้งนี้พร้อมหารือแนวทางการประสานงานเพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านแบตเตอรี่และพลังงานสะอาดระหว่างประเทศอย่างยั่งยืน
(15 พฤษภาคม 2568) ผู้แทน สอวช. ได้เข้าร่วมในพิธีการเปิดงาน CIBF 2025 อย่างเป็นทางการ และคณะฯ ได้เข้าร่วมงาน China International Battery Fair 2025 (CIBF 2025) ซึ่งนับเป็นหนึ่งในงานแสดงสินค้าและเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่ใหญ่ที่สุดในระดับโลก โดยจัดขึ้น ณ Shenzhen World Exhibition & Convention Center ภายในงานมีการแสดงนวัตกรรมในหลากหลายด้าน เช่น เทคโนโลยีการผลิตแบตเตอรี่ในระดับแบตเตอรี่เซลล์และแบตเตอรี่แพ็ค ระบบกักเก็บพลังงาน การบริหารจัดการพลังงาน และระบบขับเคลื่อนพลังงานสะอาด จากผู้ผลิตและนักวิจัยระดับนานาชาติ เป็นต้น

ในช่วงเช้า ดร.พิมพา ลิ้มทองกุล นายกสมาคมเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานไทย (TESTA) ได้ร่วมกล่าวนำเสนอในเวทีระดับนานาชาติ ภายใต้หัวข้อ “Thailand’s Energy Storage Market: Current Landscape and Future Prospects” โดยชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตของตลาดระบบกักเก็บพลังงานในประเทศไทย บทบาทของภาคเอกชนในอุตสาหกรรม รวมถึงแนวทางความร่วมมือระหว่างประเทศในการขับเคลื่อนการใช้พลังงานหมุนเวียนและการบริหารจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพ
ในช่วงบ่าย สอวช. ได้จัดกิจกรรม Business Matching ระหว่างภาคเอกชนของไทยจำนวนกว่า 30 หน่วยงาน กับผู้ประกอบการจากประเทศจีนมากกว่า 30 บริษัท ซึ่งครอบคลุมตลอดห่วงโซ่อุตสาหกรรมแบตเตอรี่ อาทิ Gotion High-Tech, Trina Solar, GOLDWIND, Desay Battery และ Shenzhen UTL Energy โดยกิจกรรมในครั้งนี้ได้เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนของไทยได้เจรจาความร่วมมือด้านการลงทุน การวิจัยร่วมกัน การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการพัฒนารูปแบบการผลิตระหว่างประเทศในเชิงยุทธศาสตร์

(16 พฤษภาคม 2568) หลังจากการศึกษาดูงานด้านเทคโนโลยีแบตเตอรี่ในช่วงเช้า ณ งาน CIBF 2025 คณะฯ ได้เดินทางไปยังบริษัท Xpeng AeroHT ซึ่งตั้งอยู่ที่ เมืองกวางโจว มณฑลกวางตุ้ง เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมสมัยใหม่ที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์และการขนส่งแห่งอนาคต เช่น รถบินได้ (Flying Cars, AirCar, VTOL) และ Land Aircraft Carrier เป็นต้น บริษัท Xpeng AeroHT เป็นบริษัทในเครือของ Xpeng Motors หนึ่งในผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของจีน โดย AeroHT เป็นหน่วยธุรกิจที่มุ่งเน้นการพัฒนา “ยานยนต์ไฟฟ้าบินได้ (Flying Cars)” ซึ่งผสมผสานเทคโนโลยีอากาศยานเข้ากับระบบขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้าและซอฟต์แวร์อัจฉริยะ

บริษัทได้พัฒนา โมเดลต้นแบบของยานยนต์ VTOL (Vertical Take-off and Landing) ที่สามารถขึ้น – ลงในแนวดิ่ง พร้อมผสานการใช้แบตเตอรี่ลิเธียมความจุสูง ระบบควบคุมอัจฉริยะ และโครงสร้างน้ำหนักเบาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบิน โดยผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นของบริษัท ได้แก่ ยานยนต์บินได้แบบ “Dual Mode” ที่สามารถใช้งานได้ทั้งบนถนนและในอากาศ

Xpeng AeroHT ได้รับการจับตามองในฐานะผู้บุกเบิกอุตสาหกรรม Urban Air Mobility (UAM) ในประเทศจีน และเป็นหนึ่งในบริษัทเอกชนรายแรก ๆ ของโลกที่ได้รับใบอนุญาตในการทดสอบการบินของยานยนต์ VTOL บางรุ่นในพื้นที่ทดลองของรัฐบาลจีน ในการเยี่ยมชมครั้งนี้ คณะฯ ได้รับฟังการนำเสนอจากผู้แทนของบริษัทเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์บินได้ การเลือกใช้ระบบแบตเตอรี่ และการวางแผนเชิงนวัตกรรมสำหรับอนาคตซึ่งใช้ระยะเวลานานกว่า 10 ปี ในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อให้เป็นที่ยอมรับและมีความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก พร้อมเยี่ยมชมศูนย์แสดงต้นแบบของยานพาหนะภายในบริษัทอย่างใกล้ชิด
(17 พฤษภาคม 2568) ในช่วงเช้า คณะฯ เดินทางไปยัง โรงงาน Highpower Technology (Haopeng) เพื่อศึกษากระบวนการผลิตและเทคโนโลยีของแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน โดยบริษัท Highpower เป็นหนึ่งในผู้ผลิตแบตเตอรี่คุณภาพสูงที่มีความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบแบตเตอรี่สำหรับระบบกักเก็บพลังงาน (ESS), อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และการใช้งานในภาคขนส่ง บริษัทมีการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านวัสดุใหม่ การจัดการความปลอดภัย และการเพิ่มอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ พร้อมทั้งมีระบบควบคุมคุณภาพที่ได้มาตรฐานระดับสากล โดย คณะฯ ได้รับเกียรติให้เข้าเยี่ยมชมในสายการผลิตจริง (Production Line) ภายในโรงงาน ซึ่งเปิดโอกาสให้เห็นถึงขั้นตอนการผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมอย่างใกล้ชิดและครบวงจร ตั้งแต่การเตรียมวัสดุ การประกอบเซลล์ ไปจนถึงการบรรจุลงในแพ็คและกระบวนการทดสอบขั้นสุดท้าย พร้อมรับฟังการบรรยายโดยผู้เชี่ยวชาญของบริษัท


ในช่วงบ่าย คณะฯ เดินทางกลับมายัง เมืองเซินเจิ้น เพื่อศึกษาดูงาน ณ บริษัท Vision Group โดยบริษัท Vision Group เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมขนาดใหญ่และระบบพลังงานอัจฉริยะ โดยมีสายการผลิตที่ครอบคลุมทั้งแบตเตอรี่ลิเธียม สายการผลิต Hydrogen Rui สำหรับระบบพลังงานไฮโดรเจน Vision Group ยังให้ความสำคัญกับการออกแบบระบบกักเก็บพลังงานในระดับอุตสาหกรรม โดยใช้เทคโนโลยีการควบคุมอุณหภูมิอัจฉริยะ ระบบจัดการพลังงานด้วยซอฟต์แวร์ และการเลือกใช้วัสดุประสิทธิภาพสูง เพื่อรองรับการใช้งานในภาคอุตสาหกรรมและระบบโครงข่ายไฟฟ้าอย่างยั่งยืน
คณะฯ ได้แบ่งกลุ่มเพื่อเข้าเยี่ยมชมสายการผลิตต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด พร้อมรับฟังการนำเสนอข้อมูลจากผู้บริหารของบริษัท และร่วมแลกเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับเทคโนโลยีและความร่วมมือในอนาคต ก่อนถ่ายภาพหมู่ร่วมกันเป็นที่ระลึก

(18 พฤษภาคม 2568) มีการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ครั้งที่ 2 ณ โรงแรม Hilton Garden Inn โดยในการประชุมครั้งนี้ ได้มีการนำข้อมูลและข้อเสนอแนะที่เกิดจากการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่เกิดขึ้นระหว่างกิจกรรม มาใช้ในการสรุปบทเรียนจากการศึกษาดูงาน มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึก และการระดมความคิดเห็นจากผู้เข้าร่วมประชุม เพื่อใช้เป็นข้อมูลสนับสนุนในการจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายด้านการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ของประเทศไทย



โดยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการนำเสนอข้อคิดเห็น เสนอแนวทางเชิงนโยบาย และร่วมชี้ให้เห็นถึงโอกาสรวมถึงความท้าทายที่สำคัญซึ่งอาจส่งผลต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ของประเทศในระยะต่อไป ดังมีตัวอย่าง ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่ได้รับจากการจัดงานฯ ที่สามารถจัดกลุ่มได้ ดังต่อไปนี้
1. ทิศทางและการให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการที่ลงทุน
1.1 หากมองด้านข้อกำหนด กฎระเบียบ และการให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ โดยผู้ที่จะมาลงทุนจากต่างชาติ จะได้สิทธิประโยชน์ในด้านต่างๆ มากกว่าผู้ประกอบการภายในประเทศ ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยมีต้นทุนในด้านต่างๆ ที่สูงกว่า ทำให้เริ่มต้นหรือมีข้อจำกัดในการแข่งขัน
1.2 การออกแบบนโยบาย ยุทธศาสตร์ และการสนับสนุนให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ยังไม่ทันต่อเป้าหมายของการพัฒนาที่เคลื่อนที่และเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตามปัจจัยกระตุ้นในระดับโลกทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และ Geopolitics ที่ยังคงอยู่ในกระบวนการดำเนินการที่จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น (ปัญหาในอดีตและต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน) และยังขาดการวางยุทธศาสตร์ที่ปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมเพื่อรับมือกับโลกอนาคตในอีก 5-10 ปีข้างหน้า เช่น ควรมีการเลือกหัวข้อที่จะแก้ปัญหาในอนาคตข้างหน้า ให้การส่งเสริมในส่วนที่ประเทศไทยมีจุดแข็ง และมีศักยภาพและความสามารถในการพัฒนาอุตสาหกรรมเฉพาะด้านเองต่อได้ โดยไม่ได้เป็นการแข่งขันโดยตรงกับผู้ผลิตรายใหญ่แต่เป็นการสร้างความร่วมมือกัน เป็นตัน
1.3 การให้ความสำคัญด้านระเบียบและสิทธิประโยชน์ในการสร้างอุตสาหกรรมในระยะถัดไป ในระยะถัดไปภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการกำหนดระเบียบและการให้สิทธิประโยชน์ที่มุ่งส่งเสริมศักยภาพของบริษัทไทยให้สามารถแข่งขันได้อย่างเป็นธรรม โดยควรพิจารณากำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมสำหรับนักลงทุนต่างชาติที่ประสงค์จะขอรับสิทธิประโยชน์ (Incentives) ให้ต้องมีการร่วมลงทุน (Joint Venture) กับบริษัทของคนไทย ทั้งนี้ ควรให้ความสำคัญในการเจรจาและออกแบบกลไกที่ส่งเสริมบทบาทและอำนาจต่อรองของบริษัทไทยให้มากขึ้น นอกจากนี้ ควรกำหนดมาตรการติดตามและตรวจสอบอย่างรัดกุม หากพบว่าการดำเนินงานไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์หรือขัดต่อเจตนารมณ์ของนโยบาย ควรมีบทลงโทษที่ชัดเจนและเข้มงวด เพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศไทยกลายเป็นเพียง “Hub ของอุตสาหกรรมที่ไม่มีมูลค่าเพิ่มภายในประเทศ” (Industry Zero-Value Hub) ซึ่งมีเฉพาะบริษัทแม่และบริษัทลูกจากต่างชาติเข้ามาลงทุนตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยใช้ทรัพยากรของประเทศเพื่อการผลิตและส่งออก โดยไม่มีการสร้างฐานการผลิตที่แท้จริงในประเทศ และควรออกแบบมาตรการเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศให้เหมาะสม และสอดรับกับความสามารถในการผลิตของภาคอุตสาหกรรมในประเทศในแต่ละช่วงเวลา เช่น ประเทศอินเดียในปัจจุบัน มีนโยบายสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ภายในประเทศ โดยอนุญาตให้นำเข้าเฉพาะเซลล์แบตเตอรี่ (Battery Cells) เท่านั้น และห้ามการนำเข้าแบตเตอรี่ทั้งแพ็ค (Battery Pack) เพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนและพัฒนาการผลิตแบตเตอรี่แพ็ค ระบบควบคุมแบตเตอรี่ (Battery Management System – BMS) และส่วนประกอบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องภายในประเทศ ช่วยลดการพึ่งพาจากต่างประเทศ และยกระดับขีดความสามารถในการพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน
2. โครงสร้างภาษีที่ควรได้รับการพิจารณาเพื่อเอื้อต่อการพัฒนาอุตสาหกรรม
2.1 ปัจจุบันกระบวนการนำเข้าเซลล์แบตเตอรี่เพื่อประกอบเป็นแบตเตอรี่แพ็คภายในประเทศยังต้องเผชิญกับภาระภาษีในหลายขั้นตอน ได้แก่ ภาษีนำเข้า ภาษีสรรพสามิต ภาษีมหาดไทย และภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการผลิตโดยรวมสูงกว่าประเทศคู่แข่งในภูมิภาค อีกทั้งยังลดแรงจูงใจในการประกอบแบตเตอรี่แพ็คภายในประเทศ โดยในหลายกรณีพบว่าการนำเข้าแบตเตอรี่ที่ประกอบสำเร็จรูปแล้วจากต่างประเทศมีราคาถูกกว่าการผลิตภายในประเทศ
2.2 การขาดแนวทางที่ชัดเจนและเป็นเอกภาพในการตีความกฎหมายภาษีจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก่อให้เกิดความไม่แน่นอนทางกฎหมายและเพิ่มความเสี่ยงด้านภาระต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ อันอาจกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชน
2.3 โครงสร้างภาษีที่อ้างอิงจากราคาขายปลีก (Retail Price-Based Taxation) ซึ่งเป็นหลักการที่ใช้กับผลิตภัณฑ์ทั่วไป อาจไม่เหมาะสมกับเทคโนโลยีใหม่ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในระยะเริ่มต้นของการพัฒนา ซึ่งมีต้นทุนวิจัยและพัฒนาสูงแต่ยังไม่สามารถเข้าสู่ตลาดเชิงพาณิชย์ได้อย่างเต็มรูปแบบ จึงควรมีการพิจารณาปรับเปลี่ยนโครงสร้างภาษีให้เหมาะสมกับลักษณะเฉพาะของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง
3. การสนับสนุนผู้ผลิตไทยในห่วงโซ่อุปทานที่ยังไม่เพียงพอ
3.1 ผู้ประกอบการไทยที่นำเข้าเซลล์แบตเตอรี่เพื่อประกอบเป็นระบบแบตเตอรี่ภายในประเทศ ยังไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ในระดับที่เทียบเท่ากับผู้ประกอบการที่นำเข้าแบตเตอรี่แบบสำเร็จรูปทั้งระบบ ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยเผชิญกับข้อเสียเปรียบทั้งในด้านต้นทุนราคาและระยะเวลาในการดำเนินการ ซึ่งอาจบั่นทอนความสามารถในการแข่งขันในตลาด
3.2 ปัจจุบันยังไม่มีมาตรการสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรมในด้านการส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์ของผู้ผลิตไทยในภาครัฐ เช่น การกำหนดเงื่อนไขในเอกสารประกวดราคา (TOR) หรือการปรับระบบจัดซื้อจัดจ้างให้เอื้อต่อการใช้ผลิตภัณฑ์จากอุตสาหกรรมภายในประเทศ ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างตลาดเริ่มต้น (initial demand) ให้กับผู้ผลิตภายในประเทศ และยกระดับศักยภาพการแข่งขันในระยะยาว
4. ข้อจำกัดในการบริหารจัดการแบตเตอรี่เสื่อมสภาพ
4.1 ประเทศไทยยังไม่มีระบบกำกับดูแลหรือกฎหมายที่ชัดเจนสำหรับการจัดการแบตเตอรี่ใช้แล้ว โดยเฉพาะในรูปแบบของระบบความรับผิดชอบของผู้ผลิตที่ขยายออกไป (Extended Producer Responsibility: EPR) ซึ่งเป็นแนวทางที่หลายประเทศนำมาใช้ในการกำกับดูแลและส่งเสริมการจัดการของเสียอันตรายจากผลิตภัณฑ์ที่หมดอายุการใช้งาน
4.2 การดำเนินกิจกรรมรีไซเคิลแบตเตอรี่ในประเทศไทยยังประสบข้อจำกัดจากต้นทุนด้านโลจิสติกส์ที่อยู่ในระดับสูง ประกอบกับปริมาณแบตเตอรี่เสื่อมสภาพภายในประเทศที่ยังไม่เพียงพอต่อการลงทุนในระดับอุตสาหกรรม จึงไม่สามารถสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจได้อย่างเป็นรูปธรรม
4.3 ประเทศไทยยังไม่มีข้อกำหนดหรือกลไกที่อนุญาตให้นำเข้าแบตเตอรี่ใช้แล้วเพื่อวัตถุประสงค์ในการรีไซเคิลได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ในขณะที่หลายประเทศในภูมิภาคสามารถดำเนินการดังกล่าวได้ภายใต้กรอบกฎหมายที่ชัดเจน ส่งผลให้ประเทศไทยเสียเปรียบในการพัฒนาอุตสาหกรรมรีไซเคิลและการบริหารจัดการของเสียในระดับภูมิภาค
5. ข้อจำกัดด้านกลไกการสนับสนุนทางการเงิน
5.1 ปัจจุบันยังไม่มีการจัดสรรทุนสนับสนุนด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ในลักษณะ “ทุนให้เปล่าแบบต่อเนื่องหลายปี” (Multi-Year Promised Grant) โดยเป็นการสนับสนุนจากภาครัฐเพียงฝ่ายเดียว เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันระยะยาว เช่น ทุนสนับสนุนในช่วงระยะเวลา 3 ปี 5 ปี หรือ 10 ปี ซึ่งเป็นแนวทางที่ประเทศพัฒนาแล้วใช้ในการสร้างอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง
5.2 ระบบการให้ทุนวิจัยและพัฒนายังขาดการแยกแยะกลไกที่เหมาะสมระหว่างหน่วยงานวิจัย (ในมิติของการวิจัยพื้นฐานและเชิงลึก) กับภาคเอกชน (ในมิติของการพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเชิงพาณิชย์) ซึ่งอาจนำไปสู่ความล่าช้าในการพัฒนาเทคโนโลยีและการนำไปใช้จริงในเชิงธุรกิจ
5.3 กลไกการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ได้อย่างมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับการให้สิทธิประโยชน์แก่บริษัทขนาดใหญ่ โดยเฉพาะบริษัทข้ามชาติ
5.4 ภาครัฐยังขาดท่าทีหรือจุดยืนที่ชัดเจนเกี่ยวกับการสนับสนุนการพัฒนาต้นแบบ (Prototype) เพื่อผลักดันสู่ระดับเชิงพาณิชย์ ส่งผลให้ภาคเอกชนขาดแรงจูงใจในการลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีในระยะยาว และลดโอกาสในการยกระดับอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ
6. โครงสร้างการกำกับดูแลและมาตรฐานยังไม่รองรับเทคโนโลยีใหม่
6.1 การจำแนกประเภทแบตเตอรี่ภายใต้ระบบภาษีศุลกากรหรือภาษีสรรพสามิต ยังไม่สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีได้อย่างทันท่วงที โดยเฉพาะในกรณีของแบตเตอรี่ชนิดใหม่ที่ยังไม่มีมาตรฐานเฉพาะทางรองรับ ส่งผลให้เกิดความไม่ชัดเจนในการประเมินภาระภาษีและขั้นตอนการนำเข้า
6.2 ประเทศไทยยังขาดศูนย์ทดสอบมาตรฐานแบตเตอรี่ภายในประเทศที่มีขีดความสามารถในการให้การรับรองในระดับสากลอย่างเพียงพอ ส่งผลให้ภาคเอกชนต้องพึ่งพาการทดสอบจากต่างประเทศ ซึ่งเพิ่มต้นทุนและระยะเวลาในการเข้าสู่ตลาด
6.3 ขาดกลไกในการประเมินความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีในระยะยาว เพื่อสนับสนุนการกำหนดนโยบายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วและมีความเสี่ยงสูง ซึ่งจำเป็นต้องมีข้อมูลเชิงลึกในการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์
7. การแข่งขันที่ไม่เท่าเทียมกับผู้ประกอบการจากต่างประเทศ
7.1 ผู้ประกอบการจากต่างประเทศ เช่น ผู้ประกอบการจากขนาดใหญ่จากต่างประเทศที่นอกจากจะได้รับการสนับสนุนจากประเทศของตัวเองเพื่อออกไปทำธุรกิจในต่างประเทศแล้ว ยังมีความสามารถในการเข้าถึงสิทธิประโยชน์จากภาครัฐของประเทศไทยในระดับที่สูงกว่าทั้งในด้านการยกเว้นภาษี มาตรการสนับสนุนทางการเงิน และการใช้ประโยชน์จากระบบส่งเสริมการลงทุน ซึ่งส่งผลให้เกิดความได้เปรียบเชิงโครงสร้างในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย
7.2 ผู้ประกอบการไทยส่วนใหญ่ยังขาดขีดความสามารถในการแข่งขัน ทั้งในด้านราคาจำหน่ายและปริมาณการผลิต ส่งผลให้จำเป็นต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศเป็นหลัก และไม่มีโอกาสในการพัฒนาอุตสาหกรรมต้นน้ำและอุตสาหกรรมระดับกลางภายในประเทศได้อย่างเต็มศักยภาพ ซึ่งเป็นข้อจำกัดต่อการสร้างห่วงโซ่มูลค่าในประเทศอย่างยั่งยืน จึงมีความจำเป็นที่ต้องพิจารณาออกมาตรการส่งเสริม และสนับสนุนผู้ประกอบการไทยอย่างมียุทธศาสตร์และเร่งด่วน
การประชุมในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากผู้แทนภาครัฐ ภาควิชาการ และภาคอุตสาหกรรม อาทิ ดร.พิมพา ลิ้มทองกุล นายกสมาคมเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานไทย (TESTA) รศ.ดร.นงลักษณ์ มีทองผู้อำนวยการโรงงานแบตเตอรี่และพลังงานยุคใหม่ นายปริพัตร บูรณสิน อุปนายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงไทย ผู้แทนจากกรมสรรพสามิต สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม และสถาบันอุดมศึกษาหลายแห่ง โดยบรรยากาศการแลกเปลี่ยนเป็นไปอย่างเข้มข้นและเผยให้เห็นถึงแนวทางความร่วมมือที่ชัดเจนมากขึ้นสำหรับการดำเนินงานในระยะต่อไป